'ศุภชัย เจียรวนนท์' เปิดวิสัยทัศน์ “Global Compact กับพันธกิจเพื่อโลกยั่งยืน”
“การที่เราเห็นตัวเองอยู่ในจุดที่เป็นวิกฤต มันมักจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่เสมอ”- ศุภชัย เจียรวนนท์**
ในโลกที่รายล้อมด้วยวิกฤตทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เสียงของผู้นำที่สามารถเชื่อมโยงประเด็นเหล่านี้เข้ากับวิสัยทัศน์แห่งความยั่งยืนจึงเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่ง คำกล่าวของ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ในฐานะนายกสมาคมเครือข่าย Global Compact แห่งประเทศไทย (GCNT)บนเวที GCNT Expo 2025ไม่เพียงสะท้อนความเข้าใจในบริบทโลก แต่ยังเสนอแนวทางที่จับต้องได้จริงในการเปลี่ยน “วิกฤต” ให้เป็น “โอกาส”
จุดวิกฤต: Breaking Point ของโลกและสัญญาณแห่งการเปลี่ยนผ่าน
คำพูดของคุณศุภชัยเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่าโลกขณะนี้กำลังเข้าสู่ “จุดวิกฤต” (Breaking Point) ซึ่งแม้จะน่ากังวล แต่ก็ถือเป็นโอกาสอันล้ำค่าสำหรับการเรียนรู้ ปรับตัว และลงมือทำ
วิสัยทัศน์นี้ตั้งอยู่บนฐานของ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)ทั้ง 17 ข้อ ซึ่งไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางนโยบาย หากแต่คือ “แผนที่” ที่รวบรวมปัญหาสำคัญของมนุษยชาติเอาไว้แล้วอย่างครอบคลุม จุดเด่นคือการมีตัวชี้วัดย่อยกว่า 140 ตัว ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการประเมินและปรับกลยุทธ์ของภาคเอกชนได้จริง
คุณศุภชัยเสนอว่า หากภาคธุรกิจสามารถเชื่อมโยงตัวชี้วัดเหล่านี้เข้ากับกระบวนการทำงาน ตลอดจนการลงทุนและการรายงานผล (ESG Reporting) ก็จะทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงระบบ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีเป้าหมายชัดเจน และที่สำคัญคือ “คุ้มทุน” ในระยะยาว
โลกยุค 3D: Digitalization, Dealization, Decarbonization
คำกล่าวของคุณศุภชัยเน้นย้ำว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุค “3D” ซึ่งหมายถึงปัจจัยสามประการที่กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโลกทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม ได้แก่:
Digitalization– การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการเข้ามาของ AI ซึ่งคุณศุภชัยเรียกว่า “disruptor ที่ทรงพลังมาก” เพราะสามารถทั้งสร้างผลลัพธ์ในเชิงบวกหรือลบ ขึ้นอยู่กับเจตนาและระบบกำกับดูแลที่ใช้ร่วมกัน
Dealization (De-globalization)– การแตกตัวของโลกจากระบบโลกาภิวัตน์ไปสู่การแบ่งขั้ว สงคราม การตั้งกำแพงทางการค้า หรือความขัดแย้งชายแดนที่ไม่จบสิ้น ซึ่งคุณศุภชัยเน้นว่า “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของประชาชน” พร้อมเสนอว่า ความเข้าอกเข้าใจ และความร่วมมือข้ามพรมแดนยังคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
Decarbonization– การลดคาร์บอนและจัดการวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งภาวะโลกร้อน มลพิษ และการสูญเสียระบบนิเวศ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมักได้รับผลกระทบมากที่สุด
บทบาทของภาคเอกชน: จุดเปลี่ยนของระบบทุนนิยม
ภาคเอกชนไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ก่อ” ปัญหาความเหลื่อมล้ำและสิ่งแวดล้อมในอดีต หากแต่คือ “พลังขับเคลื่อน” ที่สำคัญที่สุดในวันนี้
คุณศุภชัยกล่าวว่า “มุมมองของเราเพียงฝ่ายเดียว อาจยังไม่สมบูรณ์” จึงจำเป็นต้องมีความร่วมมือในรูปแบบ Public-Private Partnership (PPP)รวมถึงการดึงภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมด้วย
หนึ่งในกลไกสำคัญที่ถูกเสนอคือ บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ในการกำหนดกติกาและสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจรายงาน ESG อย่างเป็นระบบ และสื่อสารด้วย “ภาษาความยั่งยืน” ร่วมกัน เพราะความตระหนักรู้ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
ระบบการศึกษาที่ “ปลดล็อก” จินตนาการ
คุณศุภชัยยังตั้งคำถามสำคัญต่อระบบการศึกษาในปัจจุบันว่าเพียงพอหรือยังในการเตรียมเยาวชนสู่โลกแห่งความซับซ้อนนี้ เขาเสนอว่า:
การเรียนรู้ควรเชื่อมโยงกับ การลงมือปฏิบัติจริง
การตั้งศูนย์เรียนรู้ (Learning Center) ที่ผูกกับ SDGs จะช่วยให้เยาวชนเห็นปัญหา เข้าใจโครงสร้าง และเสนอวิธีแก้
ไม่เพียงปลูกฝัง “Growth Mindset” แต่รวมถึง คุณธรรม จริยธรรม และเศรษฐกิจ
เขาเสนอว่าภาคเอกชนสามารถเป็น “โรงเรียนแห่งอนาคต” ที่เชื่อมความรู้ ทักษะ และการลงทุนเข้าด้วยกัน
สังคมไร้เงินสด: เครื่องมือใหม่ในการแก้คอร์รัปชัน
หนึ่งในช่วงที่ทรงพลังที่สุดของคำกล่าวคือการชี้ว่าระบบเศรษฐกิจใต้ดินของไทยอาจมีขนาด “ถึง 50% ของ GDP” และเกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงภาษีและกฎระเบียบ
ทางออกคือการใช้ Digitalizationและ AIในการสร้างระบบ “Cashless Society” และ “Digital ID” ที่สามารถติดตามธุรกรรมได้ทุกขั้นตอน
“ทุกธุรกรรมสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เปิดเผยได้” — ศุภชัย เจียรวนนท์
สิ่งนี้ไม่เพียงสร้างความโปร่งใส แต่ยังเชื่อมโยงกับกฎหมาย ความยุติธรรม และความปลอดภัยของประชาชน นับเป็นวิสัยทัศน์เชิงระบบที่แหลมคมและกล้าหาญ
จาก “ไม่คุ้มทุน” สู่ “คุ้มในทุกมิติ”
ข้อโต้แย้งเรื่องความยั่งยืนที่ว่า “ทำแล้วไม่คุ้มทุน” ถูกหักล้างอย่างมีน้ำหนักผ่านมุมมองของคุณศุภชัย เขาเสนอว่า:
พลังงานหมุนเวียนในวันนี้ไม่ใช่ “ภาระ” แต่คือ “โอกาส”
สินค้าและบริการที่ตอบ SDGs มีความ “viable” ทั้งหมด
หากภาคธุรกิจร่วมมือกันเป็น อุตสาหกรรมจะสามารถเปลี่ยนความไม่คุ้มทุนในระดับรายบริษัท ให้กลายเป็นการลงทุนที่ “คุ้ม” ในระดับโครงสร้าง
บทส่งท้าย: แผนที่ของความหวัง
คำกล่าวของคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ไม่ใช่เพียงสุนทรพจน์บนเวทีสากล หากแต่เป็น “โรดแมป” ที่รวมทั้งวิสัยทัศน์ หลักคิด และกลไกในการขับเคลื่อนประเทศและโลกไปข้างหน้า
มันคือการเรียกร้องให้ภาคธุรกิจลุกขึ้นมาทำหน้าที่ที่เกินกว่ากำไรระยะสั้น
คือการชวนให้มองโลกอย่างเข้าใจ ไม่ใช่หวาดกลัว
คือการยืนยันว่า “เราจะเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส”ได้ หากลงมือทำร่วมกัน
โลกหลังปี 2025 อาจเป็นโลกที่ลำบากยิ่งขึ้น แต่หากมีผู้นำที่เข้าใจความซับซ้อนและกล้าสร้าง “คำตอบใหม่” เช่นนี้ มนุษยชาติยังมีความหวัง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ศุภชัย เจียรวนนท์ หนุนเอกชนไทยผนึกกำลังขับเคลื่อนความยั่งยืน พร้อมเสนอ ตลท. บังคับรายงานความยั่งยืน ชี้การศึกษาต้องเชื่อมโยง SDG 17 ข้อ
- ลิณธิภรณ์แจงชัด ยังไม่มีคำสั่งยุบโรงเรียนเล็ก เน้นพัฒนาคุณภาพ
- ศูนย์ CDC ป.ป.ช. ขยับเกมต้านโกง ใช้โซเชียลเป็นเรดาร์ตรวจจับทุจริต
- ป.ป.ช. ลุยแผน TaB เปลี่ยนเกมโกง “ไม่ให้-ไม่รับ” ต้านสินบนทั้งระบบ
- ศูนย์ CDC ป.ป.ช. ขยับเกมต้านโกง ใช้โซเชียลเป็นเรดาร์ตรวจจับทุจริต