ความขัดแย้งเรื่องพรมแดน "สยาม-กัมพูชา" สมัยละแวก ในมุมมองนักวิชาการเขมร เป็นอย่างไร?
ความขัดแย้งเรื่องพรมแดน 2 ชาติ สยาม-กัมพูชา สมัยลงแวก (ละแวก) ในมุมมองนักวิชาการเขมร เป็นอย่างไร?
ทัศนะเรื่องพรมแดนระหว่าง 2 ชาติ พบได้ทั่วไปในหนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชา ที่เขียนขึ้นโดยนักวิชาการชาวกัมพูชา โดยเฉพาะในหนังสือ “ความขัดแย้งพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ทํนาส่พฺรํแฎนรวางปฺรเทสไถ นิงปฺรเทสชิตขาง)” เรียบเรียงโดยสถาบันความสัมพันธ์นานาชาติกัมพูชา (วิทฺยาสฺถานทํนาก่ทํนงอนฺตรชาติกมฺพุชา) จัดพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553)
เห็นได้ว่า ช่วงเวลาที่มีการจัดพิมพ์นั้น เป็นช่วงที่ประเทศไทยกับกัมพูชามีความขัดแย้งเรื่อง “ปราสาทพระวิหาร” พอดี
ในเล่มมีตอนหนึ่งกล่าวถึงความขัดแย้งเรื่องพรมแดน 2 ชาติ ระหว่างไทย-กัมพูชา สมัยลงแวก (ละแวก) โดยเน้นให้เห็นถึงการเจริญสัมพันธไมตรี และการกำหนดเขตแดนของกรุงศรีอยุธยากับละแวก ในรัชกาลสมเด็จพระปรมินทราชา แห่งละแวก กับ สมเด็จพระมหาธรรมราชา (พระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) แห่งกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับ สมเด็จพระนเรศวรตีเมืองละแวก ด้วย ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่เพื่อความสะดวกในการอ่าน)
“…ในสมัยละแวก พระบาทจันทราชา และพระบรมราชาที่ 4 ทรงได้ยกทัพไปตีปลดปล่อยเอาอาณาเขตภาคตะวันตก โดยทำการตีบุกจนถึงราชธานีอยุธยา แผ่นดินอาณาเขตทางตะวันตกของประเทศกัมพูชาได้ถูกปลดปล่อยออกจากกำมือสยาม ต่อหน้าสถานการณ์ที่หนักหน่วงแบบนี้ ได้ทำให้กษัตริย์สยามเปลี่ยนแปลงท่าที แล้วหันมาขอผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศเขมรในปี 1574
การทำสัมพันธไมตรีนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขพรมแดน โดยพระราชาเขมรได้ตีเอา เกี่ยวข้องกับปัญหาพรมแดนระหว่างประเทศเขมร กับประเทศสยาม เราสังเกตเห็นมีการกำหนดสำเร็จไปแล้วระหว่างประเทศทั้งสองตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มาแล้ว
สัตยสัญญาตกลงกันนี้ ได้ทำขึ้นในวันขึ้น 11 ค่ำ เดือนผลคุน พ.ศ. 2118 ค.ศ. 1574 โดยมีการเข้าร่วมจากพระราชาของประเทศเขมร พระบาทปรมินทราชา (บรมราชาที่ 4) และพระราชาของประเทศสยาม พระบาทธรรมราชา พร้อมทั้งมีการเข้าร่วมจากนาหมื่นสรรพมุขมนตรี สมเด็จสงฆ์ มหาสงฆ์ และพระราชาคณะสำรับเอก โท ตรี จัตวา ของประเทศทั้งสอง 28 องค์ด้วย…
…พ.ศ. 2121 ค.ศ. 1577 ม.ศ. 1499 จ.ศ. 939 ปีฉลู นพศก วันพฤหัสบดี ขึ้น 8 ค่ำ เดือนกัตติก เป็นวันได้ฤกษ์ประชุมปักหลักสีมาจารึก สัตยาธิษฐาน ในศิลาบาททางตะวันตกเป็นแดนสยาม ทางตะวันออกเป็นแดนเขมร เขมรได้ตั้งเจ้าเมืองให้รักษาเมืองเหล่านั้น จึงที่นั้นเรียกว่า โรอางศิลา (รอางสิลา) มาจนถึงปัจจุบันนี้
แต่การผูกพระราชไมตรีนี้ต้องสลายไป ด้วยการละเมิดจากฝ่ายประเทศสยาม เพราะหลังจากการตกลงนี้ได้จบลงไม่กี่ปี ประเทศสยามถูกพม่าโจมตี เวลานั้นประเทศสยามได้ขอความช่วยเหลือจากกัมพูชาโดยอ้างความสัมพันธ์ระหว่างเขมร-สยาม เมื่อปี 1574 พระบาทสัตถาที่ 1 ก็ได้ส่งกองทัพช่วยเหลือแก่สยาม จนตีพม่าได้ชัยชนะ
เวลาที่นำทัพกลับมาพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระศรีสุริโยพรรณประทับห้อยพระบาทไม่ได้กราบเหมือนคนทั้งปวง ทรงพระพิโรธมาก พระบาทศรีสุริโยพรรณทรงพิโรธจากเรื่องนี้มากก็นำทัพกลับเข้านคร กษัตริย์สยามไม่สำนึกบุญคุณเขมรได้นำทัพของตนตีประเทศสยาม
กษัตริย์สยามเข้าใจว่าเมื่อเขมรช่วยสยามนั้นทำให้ประเทศสยามเสื่อมเกียรติยศและเสียหน้า ดังนั้นพระนเรศวรมักมีความแค้นอยากเอาเขมรเป็นเมืองขึ้น โดยละเมิดการเจรจา ในปี 1581 พระราชาเขมรนำทัพปลดปล่อยได้เมืองนครราชสีมา จันทบุรี…แต่มาถึงปี 1582 พระนเรศวรได้ตีชิงเอาคืน
ในปี 1586 พระนเรศวร พิโรธพระสัตถาที่ 16 จึงได้ยกทัพตีเขมรเอาเมืองพระตะบอง โพธิสัตว์ และเข้ามาถึงลงแวกทำการล้อมเมืองเป็นเวลา 3 เดือน ด้วยสยามขาดเสบียง เกิดโรคระบาดในกองทัพตายไปเป็นจำนวนมาก สยามได้ถอยกลับไป ทัพเขมรออกจากบันทายไล่ตีสยามหนีกระจัดกระจาย ก่อนสยามจะถอยทัพไปสยามได้ใช้อุบายกลยิงเงินพดด้วงจำนวนมากเข้าไปในกอไผ่ ซึ่งเป็นรั้วป้องกันอย่างมั่นคงของบันทายลงแวก
สยามได้จัดจารบุรุษสองคนเข้ามาทำเวทมนตร์ และทำให้เกิดจลาจลภายในของเขมร มหาดเล็กสยามได้แกล้งทำเป็นนักบวชนามติปัญโญ และสุปัญโญ เข้ามาทำพิธีถอนศิลปศาสตร์อาคมซึ่งบรรจุในรูปเทวรักษ์ สุปัญโญใช้มนตร์อาคมทำให้ชาวเมืองป่วย ส่วนติปัญโญเป็นคนแก้ให้ดี
ราษฎร์เขมรหลังจากที่รู้ว่ามีเงินพดด้วงในกอไผ่ มีใจยินดีอย่างยิ่งพากันตัดโค่นป่าไผ่เพื่อเอาเงิน แม้มีการปรามจากพระราชาก็ตาม ราษฎร์เขมรยังตัดโค่นจนกอไผ่ทะลุทลายหมด เรื่องนี้รู้ไปถึงกษัตริย์สยาม แล้วในปี 1593 สยามก็ยกทัพเข้าตีกรุงลงแวกสามทาง ที่สุดสยามแย่งชิงได้กรุงลงแวก…”
เรื่องราวที่ปรากฏในข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึง “ทัศนะ” ด้านลบของกัมพูชา ในประเด็นความขัดแย้งเรื่องพรมแดน 2 ชาติ โดยเฉพาะในกรณีการที่ไทยละเมิดสัญญาการปักปันเขตแดน และมีเรื่องราวหลายเรื่องซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีในสังคมกัมพูชา แต่ไม่เป็นที่รับรู้มากนักในสังคมไทย เช่น กรณี “พระศรีสุริโยพรรณ” ที่ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มองว่า ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดพระราชไมตรี ดังความในพระราชพงศาวดารกรุงสยามว่า
“…แต่พระศรีสุพรรมาธิราชนั้นมิได้หมอบ นั่งดูเสด็จอยู่ ก็ทรงพระพิโรธ…ฝ่ายพระศรีสุพรรณมาธิราชเห็นดังนั้นก็น้อยพระทัยคิดอาฆาต…ฝ่ายพระศรีสุพรรณมาธิราชนั้นคิดแค้นอยู่มิได้ขาด…พญาละแวกแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธ ตรัสว่าเราก็เป็นกษัตริย์มาดูหมิ่นกันดังนี้ ไหนกรุงกำภูชาธิบดีกับกรุงศรีอยุทธยาจะเป็นพระราชไมตรีกันสืบไปได้…”
ส่วนกัมพูชามองว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่ “ไทย” ไม่รู้บุญคุณ “เขมร” ในการยกทัพไปช่วยรบพม่า รวมทั้งยังมีการกล่าวถึงตำนานเรื่องการที่สยามวางอุบายยิงกระสุนเงินพดด้วงที่กอไผ่เมืองละแวก ทำให้ชาวเมืองละแวกไปตัดไม้ไผ่ที่เป็นรั้วล้อมเมืองลงแวกเพื่อหาเงินพดด้วง จนเสียเมืองลงแวก
วาทกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ทางประวัติศาสตร์คนละชุด ซึ่งนอกจากปรากฏในหนังสือ “ความขัดแย้งพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ทํนาส่พฺรํแฎนรวางปฺรเทสไถ นิงปฺรเทสชิตขาง)” แล้ว ยังปรากฏในแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชา รวมทั้งหนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชา อีกด้วย
ประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นโดยคนยุคหลัง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบริบทของยุคสมัยใส่เข้าไป ด้วยเหตุผลและจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ใดบนโลกนี้ และไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม
อ่านเพิ่มเติม :
- พระนเรศวร ตีละแวกแล้วทำ “พิธีปฐมกรรม”…นำ “เลือดศัตรูล้างพระบาท” จริงหรือ?
- ละแวก อดีตราชธานีของเขมร 66 ปี ชื่อนี้แปลว่าอะไร?
- พระนเรศวรบุกเขมร พระเจ้ากรุงละแวกส่งทูตไป “หมู่เกาะฟิลิปปินส์” ขอสเปนช่วยรบอยุธยา
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
ศานติ ภักดีคำ. “พรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ในทัศนะ “เขมร”.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 29 กรกฎาคม 2568
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ความขัดแย้งเรื่องพรมแดน “สยาม-กัมพูชา” สมัยละแวก ในมุมมองนักวิชาการเขมร เป็นอย่างไร?
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com