ทำความรู้จัก 10 สัตว์โลกสุดมีม ที่ชาวโซเชียลหลงรัก
บนโลกนี้มีสัตว์มากมายหลายล้านสายพันธุ์ และก็มีจำนวนไม่น้อยที่น่ารัก (และหน้ามึน) โดนใจชาวเน็ตทั่วโลก จนกลายเป็น “มีม” ดัง งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า การชมคลิปสัตว์น่ารัก ช่วยให้สุขภาพจิตดี มีความสุข เพิ่มสมาธิ สามารถทำงานได้ดีกว่าเดิม เพราะการชมคลิปสัตว์ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดวงจรแห่งความพึงพอใจและอารมณ์ดี เพิ่มระดับของโดพามีนและออกซิโทซิน
ในขณะเดียวกัน การที่สัตว์เหล่านี้กลายเป็นมีม ก็จะทำให้ผู้คนหันมาสนใจ หาข้อมูลสัตว์พวกนี้มากขึ้น และทำให้รู็ได้ว่าสัตว์หลายชนิดที่โด่งดังในโลกอินเทอร์เน็ตกำลังตกอยู่ในอันตราย หลายชนิดใกล้สูญพันธุ์ ซึ่ง 10 สัตว์โลกสุดมีมที่ “กรุงเทพธุรกิจ” อยากชวนผู้อ่านรู้จักมีดังนี้
หมูเด้ง - ฮิปโปแคระ ขวัญใจคนทั้งโลก
“หมูเด้ง” เป็นฮิปโปแคระ (Pygmy hippopotamus) จากสวนสัตว์เปิดเขาเขียวกลายเป็นที่รักของคนไทยและทั่วโลก จากการที่เพจ “ขาหมูแอนด์เดอะแก๊ง” เพจของพี่เลี้ยงของหมูเด้ง ลงภาพความน่ารักของน้อง ทั้งความร่าเริง ความดีดมากกว่าฮิปโปแคระตัวอื่น ๆ รวมถึงความอ้วนกลม ปุ๊กปิ๊ก น่ามันเขี้ยว และแม้ว่าตอนนี้หมูเด้งจะอายุครบ 1 ขวบแล้ว แต่ก็ยังคงความเด้งไว้อย่างดี และสร้างมีมได้เรื่อย ๆ
ความโด่งดังของหมูเด้ง ทำให้มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมสวนสัตว์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ต่าง ๆ ยังได้ร่วมคอลแลบกันหมูเด้งมากมาย ซึ่งจะนำรายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมและดูแลสัตว์ป่าใน 6 สวนสัตว์ภายใต้การดูแลขององค์การ
มีมที่ทำให้หมูเด้งโด่งดังไปทั่วโลก
หมูเป็นหนึ่งในมีมแห่งปี 2024 บนแพลตฟอร์ม X จากกระแสการโพสต์แชร์ภาพน้องหมูเด้งกว่า 7.7 ล้านครั้งทั่วโลก รวมถึงได้รับรางวัล บุคคลที่มีสไตล์แห่งปีจาก New York Times อีกด้วย และหากเสิร์ชคำว่าหมูเด้งในกูเกิลก็จะเจอกับกองทัพหมูเด้งขึ้นมาเต็มหน้าจอ
ฮิปโปแคระจัดว่าเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าคุกคามถิ่นที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังถูกล่า เพื่อเอาเนื้อมาบริโภค และนำหนังมาทำเป็นแส้ของชาวพื้นเมืองแอฟริกาด้วย ความโด่งดังของหมูเด้งจึงช่วยให้ฮิปโปแคระเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจมากขึ้นไปด้วย
มาร์มอต - กระรอกยักษ์สุดมีม มาพร้อมเสียงทรงพลัง
“มาร์มอต” (Marmot) เป็นสัตว์ฟันแทะขนาดใหญ่ มีกรงเล็บขนาดใหญ่และขนสีน้ำตาล ตัวใหญ่เท่าแมว อาศัยอยู่เขตซีกโลกเหนือ มีประมาณ 15 สายพันธุ์ทั่วโลก โดยสายพันธุ์ที่เป็นมีมไปทั่วโลกออนไลน์ คือ “มาร์มอตหิมาลายัน” (himalayan marmot) ซึ่งอาศัยอยู่แถวจีน อินเดีย เนปาล และปากีสถาน พวกตัวอ้วนเหล่านี้สื่อสารโดยการส่งเสียงดังและใช้พฤติกรรมทางกายในการเตือนภัย (ซึ่งเป็นที่มาของมีม)
มาร์มอตขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการขุดอุโมงค์และโพรงยาว ๆ ใต้ดิน เพื่อใช้โพรงในการเลี้ยงลูกอ่อน ซ่อนตัวจากสัตว์นักล่า และจำศีล รังของน้องมีอุโมงค์จำนวนมากที่แยกออกจากทางเดินหลัก และมักเชื่อมต่อกับโพรงอื่น ๆ ในบริเวณโดยรอบ
สัตว์ฟันแทะตัวอ้วนนี้สามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ในสภาพอากาศที่หลากหลาย อาศัยตามป่า ที่ราบแห้งแล้ง และเทือกเขา ดำรงชีวิตด้วยหญ้าและพืชพรรณอื่น ๆ โดยอาหารโปรดของพวกมัน ได้แก่ ผลเบอร์รี่ ไลเคน มอส ผัก ดอกไม้ และรากไม้
แม้มาร์มอตจะไม่มีพิษภัย ไม่ดุร้าย และกลายเป็นสัตว์เลี้ยงในหลายประเทศ แต่มาร์มอตก็เคยเป็นแหล่งแพร่กระจายของเชื้อกาฬโรคปอดในประเทศจีน ซึ่งมีสาเหตุมาจากมาร์มอตมีหมัดที่มีเชื้อโรค “เยอร์ซิเนีย เพสทิส” (Yersinia pestis) ที่เป็นสาเหตุของกาฬโรคปอด เมื่อมีสุนัขไปกินมาร์มอต ก็ทำให้หมัดตัวนี้เกาะที่สุนัข จากนั้นกระโดดไปเกาะและกินเลือดเจ้าของสุนัข ทำให้เชื้อโรคจึงซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านกระแสเลือด ตรงเข้าสู่ปอด กลายเป็นโรคกาฬโรคปอดในที่สุด
คาปิบารา - หนูยักษ์หน้ามึน เป็นมิตรกับสัตว์ทั้งโลก
“คาปิบารา” (Capybara) สัตว์ฟันแทะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คนไทยเรียกว่า “กะปิปลาร้า” หรือ “หมามะพร้าว” ตามลักษณะขนสีน้ำตาลที่หยาบและแข็งเหมือนกาบมะพร้าวและตัวเท่าหมา น้องกลายเป็นมีมในโลกโซเชียล ด้วยคาแร็กเตอร์หน้ามึน ใจเย็น ไม่หือไม่อือกับใคร และเป็นมิตรกับสัตว์ทุกชนิดในโลก
แม้คาปิบาราจะเป็น “สัตว์บก” แต่ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในน้ำ ทั้งว่ายน้ำ แช่น้ำ ดำน้ำได้นานถึง 5 นาที เนื่องจาก ลักษณะร่างกายของเจ้าสัตว์หน้านิ่งนี้มีวิวัฒนาการที่เหมาะสมกับการอาศัยในน้ำ เช่น แผ่นหนังระหว่างนิ้วเท้าเพื่อการเคลื่อนที่ในน้ำและพื้นโคลน มีขนหนาแต่หยาบทำให้แห้งไวเมื่ออยู่บนบก อีกทั้งตา จมูก และหูยังอยู่ส่วนบนของหัวทำให้สามารถรับรู้สถานการณ์ต่าง ๆ ได้แม้ว่าจะอยู่ในน้ำ
คาปิบารายังมีพฤติกรรมแปลก ๆ ด้วยการตื่นมาก็ “กินอึ” ของตัวเองแต่เช้า เนื่องจากในอึของน้องมีโปรตีนที่อุดมด้วยจุลินทรีย์จำนวนมาก ดังนั้นการกินอึตัวเองจะทำให้ช่วยย่อยอาหารได้ถึง 2 รอบ เพราะอาหารที่กินย่อยยากและกินจุมาก ตัวเต็มวัยสามารถกินอาหารได้มากถึง 2-3.5 กิโลกรัมต่อวัน
มีมคาปิบาราที่ไม่ใช่เหตุการณ์จริงแต่อย่างใด
นอกจากนี้ คาปิบารายังถูกล่าเพราะต้องการนำที่อยู่อาศัยของพวกมันมาทำเป็นพื้นที่ทางการเกษตร หรือบางทีก็ล่าเพื่อความสนุกเฉย ๆ ก็มี ทำให้ในหลายพื้นที่เจอวิกฤติแก๊งฟันแทะบุกเมือง ด้วยความที่น้องเป็นสัตว์ปรับตัวง่าย ขอเพียงแค่มีหญ้าให้กิน มีแหล่งน้ำให้แช่ก็สามารถอยู่ได้แล้ว หลายครั้งจึงได้เห็นเจ้าหน้านิ่งเดินเตร็ดเตร่ไปมาในสวนสาธารณะ ทะเลสาบในเมือง ลามไปถึงในหมู่บ้านหรูที่มีทั้งสนามหญ้าและสระว่ายน้ำ ตอบโจทย์เป็นพื้นที่พักพิงอย่างมาก
กรณีนี้เกิดขึ้นแล้วที่กรุงบัวโนสไอเรส ในอาร์เจนตินา เหล่าคาปิบาราได้ยกพลบุกหมู่บ้านย่านคนรวย เนื่องจากหมู่บ้านนี้สร้างในที่อยู่อาศัยเดิมของคาปิบารา ทำให้พวกมันต้องหนีเข้าป่าไปอยู่ที่อื่น แต่ในระยะหลังที่ป่าแอมะซอนเกิดไฟป่าบ่อย ทำให้แก๊งหมามะพร้าวไม่มีที่ไป ต้องกลับมาอยู่ในเมือง รัฐบาลท้องถิ่นจึงอนุมัติแผนฉีดยาคุมกำเนิด 2 โดสให้กับสัตว์ 250 ตัว ซึ่งจะหยุดการสืบพันธุ์ระหว่าง 9 เดือนถึง 1 ปี
ไฮแรกซ์หิน - จอมวีน เจ้าของเสียงร้องสุดไวรัล
“ไฮแรกซ์หิน” (Rock Hyrax) ดาวดวงใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์เป็นมีมบนโลกโซเชียล ด้วยภาพลักษณ์เป็น “คุณหนูขี้วีน” พร้อมโวยวายตลอดเวลา ซึ่งน้องเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะน้องเป็นสัตว์ที่ตื่นตัวระแวดระวังภัยสูง ต้องคอยสอดส่องไม่ให้เป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่และนกนักล่า
ไฮแรกซ์หินพบทั่วไปในทวีปแอฟริกา รวมถึงบางส่วนในตะวันออกกลาง อยู่ได้ทั้งในทะเลทราย ป่าฝน และป่าสน มีตาเฉี่ยว หน้าแหลม ฟันคู่หน้าเป็นฟันตัดโดดเด่น สมฐานะนางวีนสุด ๆ โตเต็มที่มีขนาดลำตัวตั้งแต่ 30–70 ซม. น้ำหนักประมาณ 2–5 กก. แม้จะตัวเล็กแต่น้องก็เป็นญาติกับช้างและพะยูน
เจ้าหนูแสนเกรี้ยวกราดนี้ สามารถทำเสียงต่าง ๆ ได้หมากกว่า 20 แบบ แต่ละแบบก็มีความหมายแตกต่างกันไป โดยเฉพาะไฮแรกซ์ตัวผู้ที่มีเรียกร้องได้ยาวและไพเราะกว่า เพื่อเกี้ยวพาราสีตัวเมีย ยิ่งร้องได้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นเท่านั้น ถึงลูกไฮแรกซ์จะไม่ได้ส่งเสียงร้องได้มากเท่า แต่ก็มีเสียงแหลมสูงอันเป็นเอกลักษณ์ “อะวาวา” (Awawa) ที่เป็นไวรัล โดยจะร้องเวลาที่รู้สึกวิตกกังวล และยังสามารถร้องว่า “มามา” (Mama) เวลาที่เรียกหาแม่ได้อีกด้วย
สำหรับในประเทศไทย พบเห็นแก๊งค์ขี้วีนนี้ได้ตามสวนสัตว์ เมื่อปี 2567 สวนสัตว์ขอนแก่นประกาศความสำเร็จ ในการเพาะพันธุ์ไฮแรกซ์หินในประเทศไทยได้เป็นครั้งแรก
หมาจิ้งจอกทิเบต - นักล่าหน้านิ่ง แห่งทุ่งหญ้าสเตปป์
“หมาจิ้งจอกทิเบต” (Tibetan fox) เป็นสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่กลายเป็นมีมเพราะมีหน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยหน้านิ่งไร้อารมณ์ แต่น้อยคนจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนี้ มีความดุร้ายซ่อนเอาไว้อยู่ภายใน เนื่องจากจิ้งจอกทิเบตเป็นนักล่าตัวฉกาจ ไม่แตกต่างจากหมาจิ้งจอกสายพันธุ์อื่น ๆ
สุนัขจิ้งจอกทิเบต หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จิ้งจอกทรายทิเบต” อาศัยอยู่ในพื้นที่สูง โดยพบได้ทั่วไปในที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต โดยจะล่า “ไพกา” กระต่ายตัวจิ๋วเป็นอาหารหลัก หมาหน้านิ่งเหล่านี้มักจะล่าเหยื่อเพียงลำพัง แต่ในบางครั้งก็มีการแท็กทีมกับหมีสีน้ำตาล โดยหมีจะขุดไพกาออกมาจากโพรง และจิ้งจอกจะจับไพกาที่จะหนี นอกจากนี้จิ้งจอกทิเบตยังล่าสัตว์ฟันแทะอย่างมาร์มอตอีกด้วย ซึ่งภาพถ่ายจิ้งจอกทิเบตไล่ล่ามาร์มอต ชนะรางวัลภาพถ่ายสัตว์ป่าแห่งปี และกลายเป็นมีมในเวลาต่อมา
ภาพ “The Moment,” ที่ชนะรางวัลภาพแห่งปี
การอาศัยอยู่ในที่ราบสูงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากสุนัขจิ้งจอกทิเบตมีขนาดเล็ก และบนที่ราบสูงมีต้นไม้น้อย จึงยากที่จะต้านทานการโจมตีจากนักล่า หมาหน้าแบนจึงอาศัยอยู่ในโพรงใต้ดินเพื่อซ่อนตัวเพื่อความอยู่รอด โดยน้องจะอาศัยอยู่กับคู่ของตัวเองและลูกน้อย 2-4 ตัว เป็นครอบครัวเล็ก ๆ แต่ก็โอเคที่จะแบ่งปันพื้นที่ล่าเหยื่อกับครอบครัวอื่น
นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ใบหน้าที่แบนราบของสุนัขจิ้งจอกทิเบตถูกวิวัฒนาการมาให้น้องสามารถวิ่งฝ่าลมแรงที่พัดผ่านที่ราบสูงได้
โคอาลา - นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นกิน ถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์
ด้วยรูปร่างหน้าตาของ “โคอาลา” (Koala) ที่คล้ายกับหมี จึงทำให้คนส่วนใหญ่เรียกว่า “หมีโคอาลา” หรือ “หมีต้นไม้” แต่ความเป็นจริงแล้วน้องเป็นพอสซัมที่มีกระเป๋าหน้าท้อง อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย และถือว่าเป็นฟอสซิลที่มีชีวิต เนื่องจากพบฟอสซิลโคอาลาที่มีอายุนานกว่า 20 ล้านปีมาแล้ว
อาหารหลักของโคอาลาคือใบยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นพืชที่มีพิษและมีสารอาหารน้อย ทำให้สัตว์อื่น ๆ ไม่กิน แต่ฟันและระบบย่อยอาหารถูกพัฒนามาให้สามารถกินและย่อยใบยูคาลิปตัสได้โดยเฉพาะ แต่ละวันโคอาลาต้องกินใบยูคามากถึง 2-5 กก. โดยอวัยวะที่ทำหน้าย่อยไฟเบอร์ ซึ่งส่วนประกอบหลักของใบยูคาลิปตัสยาวมากถึง 200 ซม. แถมยังมีแบคทีเรียช่วยย่อยไฟเบอร์ให้กลายเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้อีก
ถึงจะมีตัวช่วยขนาดนี้ โคอาลากลับเอาสารอาหารไปใช้เพียง 25% ของที่กินไปเท่านั้น ทำให้ในแต่ละวันน้องจะนอน 16–24 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อประหยัดพลังงาน และวิวัฒนาการตัวเองให้มีสมองขนาดเท่ากับมะเขือเทศหนึ่งผลเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันใบยูคาลิปตัสมีน้ำเยอะ ทำให้น้องไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำเลย และลูกน้อยที่เพิ่งเกิดต้องกินอึของแม่เพื่อสะสมแบคทีเรียย่อยไฟเบอร์ในร่างกาย
อันที่จริง โคอาลาไม่ค่อยมีศัตรูตามธรรมชาติ ศัตรูที่อันตรายที่สุดของโคอาลาจึงเป็นมนุษย์ ที่ล่าเหล่าน้องเพื่อเอาขน จนถึงขั้นเกือบสูญพันธุ์ รุนแรงถึงขั้นที่ต้องออกกฎหมายห้ามล่าโคอาลาออกมาในปี 1963 แต่ใช่ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะดีขึ้น
ในตอนนี้ โคอาลากำลังเผชิญกับภัยคุกคามมากมายในป่า ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า ภัยแล้ง โรคภัย การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะไฟป่าที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าเดิม เช่น ฤดูไฟป่าในออสเตรเลียปี 2019-2020 เป็นหนึ่งในไฟป่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและรุนแรงที่สุดเท่าที่ทวีปนี้เคยประสบมา เจ้าหน้าที่ของรัฐออสเตรเลียได้ประกาศให้โคอาลากลายเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในหลายพื้นที่ทางตะวันออกของออสเตรเลีย
ควอกกา - สัตว์หน้ายิ้ม เจ้าของตำแหน่งสัตว์ที่มีความสุขที่สุดในโลก
“ควอกกา” (Quokka) สัตว์หน้ายิ้ม ที่อยู่วงศ์เดียวกับจิงโจ้และวอลลาบี้ มีถุงหน้าท้องสำหรับอุ้มลูกอ่อน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มรับแขกตลอดเวลา น้องถึงถูกให้เป็น “สัตว์ที่มีความสุขที่สุดในโลก” แต่ความจริงแล้วน้องไม่ได้ยิ้ม หน้าน้องเป็นแบบนี้เอง เป็นผลมาจาก โครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อบริเวณปากและแก้มมีลักษณะเฉพาะทำให้เกิดรูปลักษณ์คล้ายรอยยิ้ม อีกทั้งควอกกาใช้ปากช่วยหายใจ เพื่อระบายความร้อนทำให้ปากเปิดกว้างคล้ายกำลังยิ้ม
ควอกกาเป็นสัตว์กินพืช อาหารหลักได้แก่ หญ้า ใบไม้ และเปลือกไม้บางชนิด น้องสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานาน โดยไม่ต้องดื่มน้ำ เนื่องจากได้รับความชื้นจากพืชที่กิน และมีระบบเผาผลาญที่ช่วยเก็บน้ำไว้ในร่างกายได้ รวมถึงหากินเวลากลางคืน เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อน
ควอกกาขอกระโดดกอดนักท่องเที่ยวที่ไวรัลไปทั่วโลก
นอกจากนี้ ควอกกายังมีพฤติกรรมแปลก ๆ เมื่อถูกล่า แม่ควอกกาจะทิ้งลูกเพื่อเอาชีวิตรอด โดยจะปล่อยลูกออกจากถุงหน้าท้อง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ล่า มีเวลาหนีรอดและอาจกลับมาสืบพันธุ์ได้ใหม่ในอนาคต ฟังดูโหดร้ายแต่ก็ยังดีกว่าที่ทั้งแม่และลูกจะต้องกลายเป็นเหยื่อ
ปัจจุบัน ควอกกามีอยู่เพียง 8,000 - 12,000 ตัวเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดอาศัยอยู่ทางตะวันตกของออสเตรเลีย ด้วยจำนวนที่มีน้อยทำให้ ควอกกาถูกจัดให้อยู่ในสถานะเปราะบางต่อการสูญพันธุ์ (Vulnerable) โดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ประชากรควอกกาลดลงอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผลมาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยจากการพัฒนาที่ดินและการเกษตร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดไฟป่าบ่อยครั้ง รวมถึงนักล่าที่เป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ เช่น สุนัขจิ้งจอก แมว และหมาป่า
แพนด้าแดง - ฟอสซิลมีชีวิตสุดน่ารัก ที่ใกล้สูญพันธุ์
น้องนุ่มฟู “แพนด้าแดง” (Red Panda) ถึงจะถูกเรียกว่าแพนด้า แต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแพนด้ายักษ์แต่อย่างใด ความจริงน้องอยู่ในวงศ์ Ailuridae ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวในวงศ์นี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงจัดเป็นฟอสซิลที่มีชีวิต สาเหตุที่น้องถูกเรียกว่าแพนด้าเพราะมีพฤติกรรมคล้ายกับแพนด้ายักษ์ ความจริงแล้วแพนด้าแดงถูกค้นพบก่อนแพนด้ายักษ์ด้วยซ้ำ
แพนด้าแดงมีรูปร่างหน้าตาคล้ายแรคคูนและกระรอกผสมกัน หัวมีขนาดใหญ่ จมูกแหลม ขาสั้นคล้ายหมี ขนตามลำตัวมีหลากหลาย มีทั้งสีน้ำตาลเข้ม น้ำตาลเหลืองและน้ำตาลแดง ขนบริเวณลำคอยาวและนุ่มฟู หางเป็นพวงยาวคล้ายกับหางของกระรอก มีลายปล้องสีน้ำตาลแดงสลับขาว แต่พอรวมกันกลับน่ารักอย่างลงตัว
แพนด้าแดงกินไผ่เป็นหลักโดยใช้นิ้วหัวแม่มือเช่นเดียวกับแพนด้ายักษ์ โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านิ้วของแพนด้าแดงวิวัฒนาการมาจากการปรับตัวให้จับกิ่งไม้มากกว่าการเด็ดใบไผ่ นอกจากนี้ น้องยังกินผลไม้ รากไม้ หญ้าอวบน้ำ ลูกโอ๊ก ไลเคน รวมถึงไข่นก แมลง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กอีกด้วย
น้องเป็นสัตว์รักสันโดษ อาศัยอยู่ในป่าสูงใกล้แหล่งน้ำ และพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยไม้ไผ่อย่างหนาแน่นในเนปาล อินเดีย ภูฏาน เมียนมาร์ และจีน โดยออกหากินตั้งแต่ช่วงพลบค่ำจนถึงรุ่งสางมักจะใช้เวลาตอนกลางวันพักผ่อนบนต้นไม้เพื่อประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการงีบหลับเหนือพื้นดิน นอนห้อยตัวหรือขดตัวบนกิ่งไม้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
ปัจจุบัน แพนด้าแดงถูกจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ใกล้สูญพันธุ์โดย IUCN เชื่อว่ามีจำนวนน้อยกว่า 10,000 ตัวในธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่ การแตกกระจาย และการเสื่อมโทรมของถิ่นที่อยู่อาศัย รวมถึงการลักลอบล่าสัตว์ เพื่อนำอาหาร ยา การค้าสัตว์เลี้ยง รวมถึงเอาขนสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของมัน
นอกจากนี้ แพนด้าแดงตามธรรมชาติที่รอดชีวิตยังมีความเสี่ยงต่อโรคภัย ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น แพนด้าแดงจะต้องอพยพไปยังพื้นที่ที่สูงขึ้น แต่บางพื้นที่ก็อาจไม่มีป่าให้น้องย้ายที่อยู่อีกแล้ว
สลอธ - สัตว์สุดชิลล์ เคลื่อนที่ช้าที่สุดในโลก
“สลอธ” (Sloth) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เคลื่อนชาที่สุดในโลก ก็ไม่วายเป็นมีมกับเขาด้วยเช่นกัน หนึ่งในมีมดังก็คือ คลิปพาสลอธข้ามถนนโดยมีเพลง “I believe I can fly” ประกอบ และสลอธได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกหลังจากไปปรากฏตัวในแอนิเมชันเรื่อง “Zootopia”
อันที่จริง สลอธเป็นสัตว์ที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับตัวกินมด มีชุดกรงเล็บที่ทำหน้าที่พิเศษคล้ายกัน อยู่อาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่าอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ ด้วยความเชื่องช้าระดับ 15 - 30 ซม.ต่อนาที และถ้ามีภัยอันตรายสามารถเร่งสปีดได้เร็วสุด ๆ ที่ 4.5 เมตรต่อนาที ทำให้สลอธอาศัยอยู่บนต้นไม้เป็นหลัก ไม่ว่าจะกิน นอน สืบพันธุ์ หรือเลี้ยงลูก ก็จะทำบนต้นไม้ทั้งหมด และอาจนอนได้มากถึง 20 ชม. ในแต่ละวัน
ด้วยเหตุนี้ ร่างกายของสลอธจึงเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อกลางคืน เต่าทอง แมลงสาบ เห็ดราและสาหร่าย ไปจนถึงโปรโทซัวอย่าง ซิลิเอต โดยสาหร่ายจะช่วยให้สลอธสามารถพรางตัวจากนักล่าได้
สลอธเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงไม่กี่ชนิดที่ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ เช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลาน พวกมันอาศัยอุณหภูมิโดยรอบเป็นหลักในการควบคุม ซึ่งส่งผลต่อทุกแง่มุมของการเอาชีวิตรอด รวมถึงการย่อย การเผาผลาญ และการเคลื่อนไหว เมื่อรวมกับอาหารที่มีแคลอรีต่ำมากและมีอาหารจากใบไม้ ลักษณะเหล่านี้ทำให้สลอธมีพลังงานน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นมาก
เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น สลอธต้องใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น แต่ร่างกายมันมีพลังงานไม่พอ ขณะเดียวกันจะอพยพย้ายไปหาพื้นที่เย็นกว่าก็ไม่ได้ เพราะป่าถูกทำลาย จึงทำให้สัตว์ที่เชื้องช้าชนิดนี้อาจสูญพันธุ์ได้
อัลปากา/ ลามะ - สัตว์คู่แฝดจอมพ่นน้ำลาย ที่เป็นมีมมาเป็นสิบปี
“อัลปากกา” และ “ลามะ” เป็นสัตว์ปุกปุยในตระกูลอูฐด้วยกัน มีถิ่นที่อยู่แถวอเมริกาใต้ แถมกลายเป็นมีมไล่เลี่ยกัน ซึ่งขึ้นชื่อในการปรากฏเป็นโฟโต้บอมบ์ และพ่นน้ำลายใส่นักท่องเที่ยวเหมือนกัน จนหลายครั้งเรียกกันผิด ๆ ถูก ๆ สลับกันไปหมด
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งคือ ขนาดและลักษณะทางกายภาพ อัลปากาตัวเล็กกว่าและกะทัดรัดกว่าลามะมาก ใบหน้าของอัลปากาจะกลมกว่าและคอสั้นกว่า ในขณะที่ลามะมีใบหน้ายาวกว่าและคอยาวกว่า อีกจุดสำคัญอยู่ที่ใบหู โดยหูของอัลปากาจะตรงและแหลมคล้ายปลายหอก แต่หูของลามะจะยาวและโค้งคล้ายกล้วย นอกจากนี้ลามะยังมีปากใหญ่กว่าและมีฟันมากกว่าอัลปากา
อัลปากาโฟโต้บอมบ์คู่รักที่กำลังขอแต่งงาน
ทั้งคู่ถูกเลี้ยงในฟาร์มปศุสัตว์เหมือนกัน แต่มีวัตถุประสงค์ต่างกัน โดยอัลปากาถูกเลี้ยงเพื่อเอาขนไปทำเครื่องแต่งกาย เพราะมีขนมีความนุ่มละเอียดและมีคุณภาพสูงมาก ส่วนลามะถูกเลี้ยงไว้ใช้เป็นสัตว์พาหนะขนของ และใช้เป็นสัตว์เฝ้าฝูง ปกป้องสัตว์อื่น ๆ จากนักล่า เนื่องจากมีร่างกายใหญ่โตและแข็งแรง
อีกทั้ง นิสัยของสัตว์ทั้งสองชนิดก็แตกต่างกัน อัลปากามักจะขี้อายและอ่อนโยนกว่า มักจะสงวนท่าทีและระมัดระวังเมื่ออยู่ใกล้คน แต่ก็ทำให้ง่ายต่อการดูแลและเข้าถึง อัลปากาเป็นสัตว์สังคมที่สร้างความผูกพันใกล้ชิดกับฝูงของมัน ในทางตรงกันข้าม ลามะมีนิสัยเป็นอิสระและมั่นใจในตัวเองมากกว่า เข้ากับคนได้ดีกว่าอัลปากา ลามะอาจแสดงออกถึงความภักดีที่แข็งแกร่งและสามารถปกป้องฝูงหรืออาณาเขตของตนเองได้ ถ้าจะเทียบให้เห็นภาพอาจจะบอกได้ว่า อัลปากาเป็นลูกคุณหนูอินโทรเวิร์ต แต่ลามะเป็นพี่แรงงานรับจ้างที่อาจจะมอมไปหน่อย แต่ก็ใจดีพึ่งพาได้
ลามะโฟโต้บอมบ์บนมาชูปิชู
กราฟิก: รัตนากร หัวเวียง
ที่มา: Alpaca Shearing, Fluff Alpaca, Hyrax World, Nature Australia , Red Panda Network, Safe Worldwide, The Animals Society, The Matter, Trutech Wildlife Service, WWF, WWF 2, มูลนิธิสืบนาคะเสถียร