รู้จัก "Anti-Drone" ระบบการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (C-UAS) เพื่อตรวจจับโดรนบนท้องฟ้า
ระบบ "Anti-Drone" หรือที่เรียกว่า ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Counter-Unmanned Aircraft System - C-UAS) คือ เทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์หลัก 3 อย่าง คือ ตรวจจับ, ติดตาม, และขัดขวางหรือทำลาย อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือเป็นภัยคุกคาม
ทำความรู้จัก "Anti-Drone"
ระบบเหล่านี้มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากโดรนมีราคาถูกลงและใช้งานได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในหลายพื้นที่ เช่น สนามบิน, เรือนจำ, สถานที่ราชการ, ฐานทัพ, และการจัดงานระดับประเทศ
ปัจจุบันระบบ Anti-Drone ถูกพัฒนาขึ้นหลายบริษัท แต่มีองค์ประกอบคล้าย ๆ กัน 2 ส่วนหลักๆ
1. การตรวจจับและติดตาม (Detection and Tracking) เป็นขั้นตอนแรกในการระบุว่ามีโดรนเข้ามาในพื้นที่หรือไม่ เทคโนโลยีที่นิยมใช้ได้แก่
การตรวจจับ (Detection) ถือเป็นด่านแรกในการระบุการมีอยู่ของโดรนในพื้นที่ โดยอาศัยเทคโนโลยีที่หลากหลายประกอบกัน เช่น เรดาร์ความถี่สูง, เซ็นเซอร์อินฟราเรดที่ตรวจจับความร้อน, ระบบตรวจจับคลื่นวิทยุ (RF Scanner), กล้องความละเอียดสูง และแม้แต่ระบบเสียงอะคูสติกที่คอยดักฟังเสียงใบพัด
การระบุตัวตน (Identification) เมื่อตรวจพบวัตถุต้องสงสัย ระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อยืนยันว่าเป็นโดรนจริงหรือไม่ และจำแนกประเภทเพื่อประเมินระดับของภัยคุกคาม
การติดตาม (Tracking) หลังจากระบุเป้าหมายได้แล้ว ระบบจะทำการติดตามเส้นทางการบินของโดรนอย่างต่อเนื่อง เพื่อวิเคราะห์ทิศทางการเคลื่อนที่และคาดการณ์เป้าหมายที่เป็นไปได้
การยับยั้ง (Neutralization) ขั้นตอนสุดท้ายในการหยุดยั้งภัยคุกคาม ซึ่งมีเทคนิคที่หลากหลายขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเหมาะสม
2. การขัดขวางหรือทำให้โดรนไร้ความสามารถ (Interdiction or Neutralization) โดยหลังจากตรวจพบและติดตามเป้าหมายแล้ว ระบบจะทำการหยุดยั้งโดรนด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
การรบกวนสัญญาณ (Jamming) วิธีนี้นิยมใช้มากที่สุด โดยการปล่อยคลื่นรบกวนสัญญาณควบคุม (Wi-Fi) และสัญญาณดาวเทียม (GPS) ทำให้โดรนสูญเสียการควบคุมและไม่สามารถระบุพิกัดของตนเองได้
การยึดควบคุม (Spoofing) เทคนิคขั้นสูงที่ส่งสัญญาณควบคุมปลอมเข้าไปหลอกล่อ และยึดครองระบบของโดรน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถบังคับให้โดรนลงจอดในพื้นที่ที่ปลอดภัยได้
การจับกุมทางกายภาพ วิธีการทางกายภาพเข้าสกัดกั้น เช่น การยิงตาข่ายเพื่อจับ,การใช้โดรนต่อต้านบินเข้าสกัด หรือแม้แต่การใช้อุปกรณ์พิเศษอื่นๆ
การใช้เลเซอร์ เทคโนโลยีใช้ลำแสงเลเซอร์พลังงานสูงสามารถถูกนำมาใช้เพื่อรบกวนเซ็นเซอร์ของโดรน หรือทำลายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ ทำให้โดรนใช้งานต่อไม่ได้
ระบบ "Anti-Drone" ในประเทศไทย
การนำระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Counter-Unmanned Aircraft System - C-UAS) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับการใช้คลื่นสัญญาณรบกวน, สภาพอากาศร้อนชื้นที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเซ็นเซอร์ และการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอนาคตชี้ให้เห็นว่าการใช้งาน C-UAS จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามความตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามจากโดรนที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับราคาเทคโนโลยีที่เข้าถึงง่ายขึ้น
รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความแม่นยำสูงขึ้นโดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการบูรณาการระบบเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานเดิม จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศของไทยให้ก้าวทันโลกต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พลังงานนิวเคลียร์ผลิตไฟฟ้ากับอาวุธนิวเคลียร์ มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
- เลื่อนปล่อยภารกิจ Ax-4 หลังพบการรั่วของออกซิเจนเหลว (LOx) ขณะตรวจสอบระบบ
- เช็กรุ่น iPhone รุ่นไหนรองรับ iOS 26 พร้อมอัปเดตดีไซน์ Liquid Glass สุดล้ำ
- เปิดตัว visionOS 26 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ยกระดับ Apple Vision Pro
- Stage Lighting เทคโนโลยีแสงสีคอนเสิร์ตฝีมือคนไทย ที่ไม่ด้อยกว่าใครในโลก ! lTech on the Table EP.10