ภาษีทรัมป์ทำให้ “ห่วงโซ่อุปทานโลก” ของ “เสื้อคอกลม” (T-shirt) เปลี่ยนไปหรือไม่?
รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ
ในปี 2005 Pietra Rivoli นักเศรษฐศาสตร์ด้านการค้า มหาวิทยาลัย Georgetown ได้เดินทางวิจัยสำรวจเส้นทางห่วงโซ่การผลิต “เสื้อคอกลม” (T-shirt) โดยเริ่มต้นจากพื้นที่ฟาร์มปลูกฝ้ายตามรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ ที่เรียกว่า cotton belt ธุรกิจปีหนึ่งมีมูลค่า 21 พันล้านดอลลาร์ และสหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกฝ้ายรายใหญ่สุดของโลก
หลังจากนั้น เธอก็เดินทางตามไปถึงโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าค่าแรงถูกและสวัสดิการต่ำในจีน ย้อนกลับมาที่ร้านขายเสื้อคอกลมในสหรัฐฯ และไปจบลงที่ตลาดเสื้อมือสองในแอฟริกา ปัจจุบัน ในยุคภาษีทรัมป์ เธอเห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ ที่เกิดขึ้นกับเส้นทางโลกาภิวัตน์ของการผลิต “เสื้อคอกลม”
ใครเป็นคนทำเสื้อคอกลมของคุณ
เดือนกุมภาพันธ์ 1999 เกิดกระแสการประท้วงขึ้น ในบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัย Georgetown ที่รวมตัวต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์ เป้าหมายการประท้วงอย่างหนึ่งคือการค้าโลก ซึ่งเป็นเป้าหมายการประท้วงเดียวกันกับคนที่สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว กลุ่มคนที่ประท้วงเป็นคนหนุ่มสาว มีความคิดฝ่ายซ้าย ที่ต่อต้านการเอาเปรียบแรงงาน
ในเวลานั้น Pietra Rivoli ได้ไปร่วมสังเกตการณ์การประท้วงของนักศึกษา มีผู้ปราศรัยเป็นสตรีกล่าวถามผู้ร่วมชุมนุมว่า “ใครเป็นคนทำเสื้อคอกลมที่พวกคุณสวมอยู่” คำถามนี้สร้างความอยากรู้อยากเห็นแก่เธอขึ้นมาทันที และเธอตัดสินใจที่จะหาคำตอบในเรื่องนี้
การเดินทางของ Pietra Rivoli เพื่อค้นหาห่วงโซ่อุปทานโลกของเสื้อคอกลม เริ่มต้นจากการซื้อเสื้อคอกลมตัวหนึ่ง จากร้านซูเปอร์มาร์เกตราคา 5.99 ดอลลาร์ หลังจากนั้น เธอเดินทางไปฟาร์มปลูกฝ้ายที่รัฐเท็กซัส โรงงานตัดเย็บเสื้อคอกลมในจีน แล้วมาจบลงที่ร้านขายเสื้อผ้ามือสองในแทนซาเนีย
ในปี 2005 เธอนำเรื่องราวจากการค้นคว้าเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานของเสื้อคอกลมมาเขียนและพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “The Travels of a T-Shirt in the Global Economy” หนังสือเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศเล่มนี้ขายไป 3 แสนเล่ม ครึ่งหนึ่งเป็นฉบับที่แปลเป็นภาษาต่างประเทศ The Financial Times คัดเลือกเป็น 1 ใน 5 หนังสือธุรกิจแห่งปี 2005
เธอเข้าใจในความกังวลด้านสิทธิมนุษยชนของผู้ประท้วง แต่ไม่คิดว่าการยกเลิกการค้าโลกจะเป็นประโยชน์แก่คนงานในประเทศกำลังพัฒนา ปัจจุบันนี้ คนที่เคยประท้วงเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์กลายเป็นคนชั้นกลางไปแล้ว แต่แนวหน้าของการต่อต้านการค้าโลกถูกส่งผ่านมาให้ขบวนการฝ่ายขวา ที่เรียกว่า “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง” (Make America Great Again)
ชีวประวัติ “เสื้อคอกลม”
Pietra Rivoli เขียนไว้ว่า หลังจากได้ยินคำปราศรัยของผู้ประท้วงที่ถามว่า ใครเป็นคนที่ทำเสื้อคอกลมของคุณ หลังจากนั้น เธอใช้เวลาหลายปีเดินทางทั่วโลก ไม่ใช่เพื่อแค่จะหาคำตอบว่าใครเป็นคนทำเสื้อคอกลม แต่ยังเดินตามเส้นทางชีวิตเสื้อคอกลม ที่เดินทางหลายพันไมล์ใน 3 ทวีป เรื่องราวชีวิตของ “เสื้อคอกลม” ถูกพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเล่มดังกล่าว
ผู้เขียนต้องการอธิบายว่า ประวัติเสื้อคอกลมราคา 6 ดอลลาร์ สะท้อนความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานโลกและการค้าระหว่างประเทศ เป็นมุมมองที่ต่างออกไปจากวิธีการทั่วไป ที่มักอาศัย “ทฤษฎี” มาเข้าใจระบบการค้าโลก ฝ้ายจากรัฐเท็กซัสถูกส่งไปโรงงานสิ่งทอที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อปั่นเป็นเส้นด้ายและทอเป็นเสื้อคอกลมส่งกลับมาขายในสหรัฐฯ หลังจากที่ถูกใช้งานแล้ว ก็ถูกทิ้งและส่งออกไปยังแอฟริกา เสื้อมือสองจึงกลายเป็นสินค้านำเข้าอันดับต้นๆ ของแทนซาเนีย จนมีผลกระทบต่อภาวะเงินสดของประเทศ
Pietra Rivoli กล่าวว่า ที่ผ่านมา การถกเถียงเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์จะเป็นเรื่องคุณประโยชน์หรือโทษของ “กลไกตลาด” ส่วนหนึ่งมองว่า กลไกตลาดที่เสรีจะช่วยสร้างความมั่งคั่ง ที่ช่วยยกเรือเศรษฐกิจทุกลำให้สูงขึ้นตามคลื่น แต่คนอีกส่วนหนึ่งมองว่า กลไกตลาดเสรีจะสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อชีวิตคนยากจน ค่าแรงถูกกด และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตกต่ำ จึงต้องปกป้องคนเหล่านี้
แต่ประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยยากจน เช่น ไต้หวันหรือญี่ปุ่น พัฒนามั่งคั่งขึ้นมาเพราะโลกาภิวัตน์ หลายประเทศ เช่น จีนและอินเดีย ก็พัฒนาห่างไกลจากสภาพที่เคยยากจนมาก่อน แต่ประเทศยากจนจำนวนมากยังไม่ได้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากโลกาภิวัตน์ เรื่องราวของ “เสื้อคอกลม” สะท้อนความเป็นไปได้ของการสร้างความมั่งคั่งจากโลกาภิวัตน์
ภาษี เสื้อคอกลม และทรัมป์
หลังจากที่เวียดนามบรรลุข้อตกลงภาษีทรัมป์ Pietra Rivoli ให้สัมภาษณ์กับ The New York Times (NYT) ในเรื่องภาษี เสื้อคอกลม และทรัมป์ว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว การต่อต้านโลกาภิวัตน์มาจากขบวนการที่ก้าวหน้าของคนหนุ่มสาว ที่กังวลต่อการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม การใช้แรงงานในโรงงานที่ค่าแรงถูก ขาดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเป็นคนเขียนกติการการค้า แต่ปัจจุบัน ข้อเรียกร้องเหล่านี้หลายข้อได้รับการแก้ไขไปแล้ว
ทุกวันนี้ ข้อตกลงการค้าทุกฉบับจะมีเรื่องการปกป้องสิ่งแวดล้อม บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ให้ความสนใจแก่สวัสดิการของคนงานในห่วงโซ่อุปทาน แต่สำหรับพวกฝ่ายขวานั้นแตกต่างออกไป ภาษีทรัมป์ค่อนข้างจะไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง เราไม่ได้เห็นขบวนการสนับสนุนภาษี เราไม่ได้เห็นการชุมนุมเพื่อสนับสนุนภาษี หรือต่อต้านการค้า กล่าวได้ว่า กลุ่มคนชั้นนำของโลกให้การยอมรับในเรื่องของกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบและความเสียหายจากการค้า แม้การค้าจะเป็นผลดี แต่ก็มีการต่อต้าน คำอธิบายที่คลาสสิกก็คือว่า “ต้นทุนของการค้ากระจุกตัว ส่วนประโยชน์ของการค้ากระจัดกระจาย”
ต่อคำถามที่ว่า ก่อนจะมาถึงสภาพในทุกวันนี้ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐฯ ก็ตกต่ำมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้การค้ากลายเป็นแพะรับบาป Pietra Rivoli ตอบว่า มีมายาคติ (myth) ที่อยู่มาอย่างต่อเนื่องคือความคิดที่ว่า การประกอบการผลิตของสหรัฐฯ พังทลายลง ในความเป็นจริง มูลค่าสินค้าจากการประกอบการผลิตของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่พังทลายคือการจ้างงานภาคการผลิต เมื่อเทียบกับการจ้างงานทั้งหมด เหตุผลประการแรก คือความก้าวหน้าของเทคโนโลยี คนงานหนึ่งคนให้ผลผลิตได้มากขึ้น ประการที่ 2 สิ่งที่ผลิตในสหรัฐฯ เปลี่ยนไป สาเหตุหลักมาจากการเปิดเสรีการค้า การผลิตที่ใช้แรงงานมาก ย้ายไปประเทศอื่น เมื่อจีนเข้าร่วม WTO การจ้างงานตกต่ำลง โดยเฉพาะกับคนงานประเภทใช้แรงงาน ทำให้ความเหลื่อมล้ำขยายตัวมากขึ้น
เสื้อคอกลมจะกลับมาผลิตในสหรัฐฯหรือไม่
คำถามที่ว่า หนังสือเรื่องการเดินทางของ “เสื้อคอกลม” อธิบายว่า การค้าเสรี จริงๆ แล้วไม่ใช่การค้าเสรี เพราะทุกประเทศให้การอุดหนุนการผลิต ทุกประเทศไม่ได้ทำตามแนวคิดนี้ Pietra Rivoli ตอบว่า การค้าคือการแลกเปลี่ยนแบบสมัครใจ เกิดขึ้นภายใต้กติกา กติกานั้นอาจเขียนให้เราได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ เป็นเวลาหลายปีที่ผู้ผลิตเสื้อผ้าในสหรัฐฯ อาศัยอิทธิพลการเมืองมาปกป้องตัวเองจากการแข่งขัน ทุกวันนี้ เราเห็นตัวอย่างการปกป้องจากการเมือง เช่น ยางรถยนต์ แผงพลังงานแสงแดด เหล็กกล้า หรือรถยนต์ EV
คำถามที่ว่า ทรัมป์กล่าวว่า ประเทศอื่นเอาเปรียบสหรัฐฯ สิ่งนี้เกิดขึ้นกับ “เสื้อคอกลม” ด้วยหรือไม่ เธอตอบว่า ตัวเองไม่บ้าคลั่งไปกับคำว่า “เอาเปรียบ” แต่เป็นความจริง สหรัฐฯ มีข้อกีดกันการค้าที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ในแง่นี้ ทรัมป์เป็นฝ่ายถูกที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศอื่นขายสินค้าในสหรัฐฯ ได้ง่ายกว่าขายในประเทศอื่น ส่วนนักเศรษฐศาสตร์แทบทุกคนมองว่า การเจรจาเพื่อให้เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
สำหรับคำถามที่ว่า ในอนาคต จะเกิดอะไรกับลูกค้าเสื้อคอกลม เธอตอบว่า นับจากที่เขียนหนังสือออกมาในปี 2005 สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ ทุกวันนี้ เสื้อคอกลมส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ มาจากอเมริกากลาง เพราะข้อตกลงการค้าเสรีในสมัยโอบามา ทำให้สินค้าเข้าสหรัฐฯ โดยไม่มีภาษี ภาษีตอบโต้ของทรัมป์ทำลายการเข้าตลาดแบบปลอดภาษี โดยนำเอาภาษีพื้นฐาน 10% มาใช้กับประเทศอเมริกากลาง ยกเว้นนิการากัวและเฮติ
ส่วนเสื้อคอกลมจะย้ายฐานการผลิตกลับมาสหรัฐฯ หรือไม่นั้น Pietra Rivoli ตอบว่า สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น เพราะการผลิตเสื้อคอกลมในประเทศเจริญแล้ว ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงในเชิงบวกที่มากหรือสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่มากมาย แต่ภาษีทรัมป์จะมีผลกระทบที่ว่า ราคาเสื้อสูงขึ้น และการซื้อเสื้อน้อยลง
เอกสารประกอบ
The Travels of a T-Shirt in the Global Economy, Pietra Rivoli, Wiley, 2009.
Policy or Cudgel? A Trade Economist on Trump’s Hardball Tariff, July 11, 2025, nytimes.com,