‘ทรัมป์’ปิดตำนานขาดดุล-ดึงทุนเข้าบ้านพร้อมกำหนด‘ภูมิทัศน์ใหม่’การค้าโลก
ทำเนียบขาวได้เผยแพร่ Fact Sheet: President Donald J. Trump Further Modifies the Reciprocal Tariff Rates หรือ เอกสารข้อเท็จจริง: ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แก้ไขอัตราภาษีศุลกากตอบโต้เพิ่มเติม เผยแพร่เมื่อ 31 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา
สาระสำคัญระบุว่า การปรับโครงสร้างการค้าโลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อคนอเมริกัน หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อแก้ไขอัตราภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทนสำหรับบางประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าสินค้าของสหรัฐที่พุ่งสูงขึ้นทุกปี
การดำเนินการที่เด็ดขาดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของประธานาธิบดีในการปกป้องสหรัฐจากภัยคุกคามจากต่างประเทศต่อความมั่นคงแห่งชาติและเศรษฐกิจของสหรัฐ ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่เป็นธรรม สมดุล และต่างตอบแทน เพื่อประโยชน์ต่อแรงงาน เกษตรกร และผู้ผลิตชาวอเมริกัน และเพื่อเสริมสร้างฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสหรัฐ
ตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเพิ่มอัตราภาษีศุลกากร 10% เมื่อ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา สำหรับทุกประเทศ และสำหรับประเทศที่สหรัฐ มีการขาดดุลการค้าสูงนั้นประธานาธิบดีได้ประกาศเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรเพิ่มเติมสำหรับแต่ละประเทศ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา ตัวอย่างเช่นหลายประเทศได้ตกลง หรือใกล้จะตกลง ข้อตกลงทางการค้าและข้อตกลงด้านความมั่นคงที่สำคัญกับสหรัฐ โดยบางประเทศได้เสนอเงื่อนไขที่ประธานาธิบดีเห็นว่ายังไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ได้อย่างเพียงพอ ขณะเดียวกันบางประเทศยังไม่ได้เจรจากับสหรัฐเลย
จากข้อมูลเพิ่มเติมและคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงประธานาธิบดีจึงได้พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนอัตราภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทนสำหรับบางประเทศ ดังนั้นจึงมีการแบ่งเป็นประเทศที่ระบุไว้ในภาคผนวก 1 ของคำสั่งฝ่ายบริหารจะต้องปฏิบัติตามอัตราภาษีศุลกากรที่ระบุไว้ เช่น ไทย 19% หรือ สหภาพยุโรป ได้อัตราต่ำสุด 0-15% บราซิล 10% และอัตราภาษีที่สูงสุด ได้แก่ ซีเรียที่ 41% และ สปป.ลาว 40% ส่วนโดยประเทศที่ไม่ระบุไว้ในภาคผนวก 1 จะต้องปฏิบัติตามอัตราภาษีศุลกากร 10%
อีกเหตุผลที่สหรัฐลุกขึ้นมา ปฎิรูปอัตราภาษีครั้งนี้ คำสั่งประธานาธิบดี อธิบายว่า เพื่อเป็นการเสริมสร้างสถานะของอเมริกาในตลาดโลก โดยประธานาธิบดีทรัมป์มองว่า กำหนดนโยบายการค้าที่ล้มเหลวมาหลายทศวรรษนัั้นเมื่อเกิดคำสั่งใน 31 ก.ค. 2568 แล้วนั้นจะเป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะทวงคืนอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจของอเมริกา
“ผ่านการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ทางการค้าให้เป็นแบบต่างตอบแทนในหลายด้าน ลดการคุกคามทางเศรษฐกิจและรักษาความมั่นคงของชาติ รวมถึงเอื้อประโยชน์ต่อแรงงานชาวอเมริกันด้วย”
สำหรับกลยุทธ์การค้าครั้งนี้ได้นำมาซึ่งข้อตกลงทางประวัติศาสตร์กับคู่ค้ารายใหญ่ การปลดล็อกการลงทุนที่ไม่เคยมีมาก่อนในสหรัฐ และขยายการเข้าถึงตลาดสินค้าอเมริกัน ข้อตกลงเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างสถานะทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของอเมริกา และสร้างโอกาสให้กับแรงงาน เกษตรกร และธุรกิจอเมริกัน
สำหรับข้อตกลงครั้งใหญ่กับสหภาพยุโรป นั้นสหภาพยุโรปได้ตกลงที่จะซื้อพลังงานจากสหรัฐ มูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ และลงทุนใหม่ในสหรัฐอีก 6.0 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งหมดนี้ภายในปี 2571 และยุโรปได้ยอมรับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐที่ 15%
ด้านญี่ปุ่นตกลงที่จะลงทุน 5.5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐเพื่อฟื้นฟูและขยายอุตสาหกรรมหลักของอเมริกา รวมถึงเปิดตลาดของตนเองสำหรับสินค้าส่งออกของสหรัฐ มากขึ้น โดยจ่ายภาษีในอัตราพื้นฐานที่ 15%
ส่วนข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและสหราชอาณาจักรครอบคลุมการเพิ่มการเข้าถึงตลาดสินค้าส่งออกของสหรัฐ มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ขณะที่ข้อตกลงการค้าเพิ่มเติมกับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ นัั้นจะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐด้วยการเปิดตลาดในประเทศเหล่านั้น และส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมของอเมริกา
"การลงทุนเหล่านี้ทำให้สหรัฐเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของโลกสำหรับนวัตกรรม การผลิต และการเติบโตทางเศรษฐกิจประธานาธิบดีทรัมป์กำลังใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือที่จำเป็นและมีประสิทธิภาพในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก หลังจากการขาดดุลการค้าที่ไม่ยั่งยืนมาหลายปี ซึ่งคุกคามเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ"
นอกจากนี้ ตามแผนของประธานาธิบดีทรัมป์ได้กำหนดประโยชน์ที่ได้เพื่อการสนับสนุนให้ธุรกิจต่างๆเข้ามาก่อร่างสร้างธุรกิจและ ผลิตสินค้าบนแผ่นดินอเมริกา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ประเทศต่างๆ เห็นว่าการผลิตในประเทศของตนก็สามารถเข้าตลาดสหรัฐด้วยกติกาที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าใดๆด้วยเช่นกัน แต่ปัจจุบันนี้เงื่อนไขนี้เปลี่ยนไปแล้ว
“ประธานาธิบดีทรัมป์ให้คำมั่นว่าสหรัฐจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดผลจริงรวดเร็ว เป็นมืออาชีพ และสม่ำเสมอ เพื่อนำการจ้างงานด้านการผลิตกลับคืนมาสู่ชาวอเมริกัน”
อีกเหตุผลที่สหรัฐระบุถึงคือ นโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ก่อให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในสหรัฐ ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจสหรัฐควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาการค้าที่ไม่เป็นธรรมซึ่งส่งผลเสียต่อแรงงานชาวอเมริกันมานานหลายทศวรรษ เท่ากับว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังสร้างแรงจูงใจให้เกิดภาคการผลิตในอเมริกาและปกป้องอุตสาหกรรมของอเมริกา ด้วยการเก็บภาษีศุลกากรกับประเทศที่มีการค้าแบบไม่ต่างตอบแทน
“ด้วยการประกาศการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังนำงานด้านการผลิตกลับคืนสู่อเมริกา ฟื้นฟูชุมชน และเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทาน”
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐกำลังดำเนินการใช้เครื่องมือที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ ส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และธำรงไว้ซึ่งระบบการค้าที่ตั้งอยู่บนความเป็นธรรมและการต่างตอบแทน