โบรกฯ ชี้หุ้นน้ำมัน-โรงกลั่น อาจขาดทุนสต็อก เหตุโอเปกเพิ่มกำลังผลิต แถมเวเนซุเอลาส่งน้ำมันไปสหรัฐฯได้
หุ้นกลุ่มน้ำมันมีปัจจัยกดดัน หลัง OPEC+ ปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ 547,000บาร์เรล/วัน ในเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด แถมตัวเลขจ้างงานของสหรัฐฯ อ่อนแอกว่าคาด กดดันความต้องการใช้น้ำมัน และความไม่มั่นใจต่อมาตรการกดดันรัสเซียของสหรัฐฯ ทำให้มีแนวโน้มว่าอุปทานจากรัสเซียยังเข้าสู่ตลาดโลก
ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เชฟรอนเตรียมกลับมาส่งออกน้ำมันดิบจากเวเนซุเอลาไปยังสหรัฐฯ ภายในเดือนสิงหาคมนี้
หลังได้รับใบอนุญาตแบบจำกัดจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯให้ดำเนินกิจกรรมด้านน้ำมันในประเทศที่ถูกคว่ำบาตร แต่ยังไม่กลับไปเท่าต้นปีที่เคยสูงถึง 250,000 บาร์เรลต่อวัน
อีกทั้งกลุ่มโอเปกตกลงเพิ่มกำลังการผลิตอีก 548,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนกันยายน ทั้งนี้มองเป็นลบต่อราคาน้ำมัน และPTTEP รวมไปถึง refineries: TOP SPRC PTTGC BCP BSRC พร้อมทั้ง OR จาก potential inventory loss
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการประชุมกลุ่ม OPEC+ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา กลุ่ม OPEC+ มีมติปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ 547,000บาร์เรล/วัน ในเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโลกแข็งแกร่งและสต๊อกน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำ
โดยการตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากกลุ่ม OPEC+ เพิ่มขึ้นรวม 2.46 ล้านบาร์เรล/วันในช่วงเดือน เม.ย.-ก.ย. (สูงกว่าการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ 2.2ล้านบาร์เรล/วันที่ตกลงกันเมื่อปี 2565 ไปแล้ว)
ทั้งนี้แผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตในระยะถัดไป อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพตลาด การประชุมครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในวันที่ 7 ก.ย. เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในเดือน ต.ค.
อย่างไรก็ตาม มองว่า การปรับเพิ่มการผลิตดังกล่าว รวมทั้งความเสี่ยงที่อุปสงค์อาจชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าน่าจะเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง และน่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้น upstream O&G (PTTEP) แต่น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อกลุ่มโรงกลั่น (ต้นทุนน้ำมันดิบถูกลง) โดยมี TOP เป็น preferred pick
ขณะที่ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ปัจจัยกดดันราคาน้ำมันเมื่อคืนวันศุกร์มาจากตัวเลขจ้างงานของสหรัฐฯ อ่อนแอกว่าคาด กดดันความต้องการใช้น้ำมัน และความไม่มั่นใจต่อมาตรการกดดันรัสเซียของสหรัฐฯ ทำให้มีแนวโน้มว่าอุปทานจากรัสเซียยังเข้าสู่ตลาดโลก
แม้ช่วงที่ผ่านมาทรัมป์ต้องการให้รัสเซียส่งสัญญาณยุติสงครามยูเครนภายในวันที่ 8 ส.ค. และขู่ว่าจะจัดเก็บภาษีสินค้าจากประเทศที่นำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยจะจัดเก็บภาษีสินค้าจากอินเดียในอัตรา 25% (อินเดียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันจากรัสเซียรายหลักราวเกือบ 2 ล้านบาร์เรล/วัน) อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวล่าสุดอินเดียยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจัดหาน้ำมันจากรัสเซีย เพราะเป็นสัญญาระยะยาว
นอกจากนี้ การประชุม OPEC+ วันที่ 3 ส.ค. มีมุมมองว่าภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี และปริมาณน้ำมันคงคลังทั่วโลกอยู่ระดับต่ำ สมาชิก 8 ประเทศจึงมีมติปรับเพิ่มปริมาณผลิตน้ำมันเดือนก.ย. ขึ้นอีก 547,000 บาร์เรล/วัน เป็นไปตามคาดการณ์ของตลาดส่วนใหญ่ โดยกลุ่มจะจัดประชุมครั้งถัดไปพิจารณาปริมาณผลิตเดือนต.ค. วันที่ 7 ก.ย. ซึ่งกดดันราคาน้ำมันดิบเช้านี้ขยับลงต่อราว -0.5%
ดังนั้นภาพรวมเป็นลบต่อหุ้นกลุ่ม Oil Play ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดสหรัฐฯ และ รัสเซียเป็นปัจจัยต้องติดตาม เพราะเข้าใกล้ Deadline ของสหรัฐฯ ที่ให้รัสเซียยุติสงครามกับยูเครน