จตุพรโชว์วิชั่นการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน รับมือวิกฤตโลกเปลี่ยน
จตุพรโชว์วิชั่นการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน รับมือวิกฤตโลกเปลี่ยน
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ประจำปี 2568 พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ประสิทธิภาพหน่วยงานภาครัฐ กับการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน” ณ หอประชุมใหญ่ อาคาร 15 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม โดยรางวัลสำเภา-นาวาทอง เป็นรางวัลเชิดชูหน่วยงานภาครัฐที่มีผลงานโดดเด่นในการลดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม
นายจตุพร กล่าวว่า การขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยหน่วยงานภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะความท้าทายระดับโลก เช่น ภูมิรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความเสี่ยงทางสังคม ความเหลื่อมล้ำ และการเปลี่ยนแปลงของประชากร ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร ซึ่งโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงสำคัญใน 10 ปีข้างหน้า ตั้งแต่สภาพอากาศสุดขั้ว การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การขาดแคลนทรัพยากร ไปจนถึงความไม่แน่นอนทางเทคโนโลยีและสังคม นอกจากนี้ความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก ที่กระทบต่อการค้าและกำลังซื้อภายในประเทศ เช่น การแข่งขันทางการค้ารุนแรง หนี้ครัวเรือนสูงต่อเนื่อง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และความไม่แน่นอนทางการเมือง
เพื่อรับมือกับความท้าทาย นายจตุพรเสนอแนวทางพัฒนาภาครัฐที่สำคัญ ได้แก่
1.ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และบริหารนโยบายในทุกระดับ
2.ให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
3.ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้โปร่งใส รวดเร็ว และทันสมัย
4.นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพ
5.ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างคุณค่าและสังคมยั่งยืน
นายจตุพร ระบุว่า ต้องการให้เกิดการบูรณาการ ESG และ SDGs ในงานภาครัฐ ครอบคลุมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อม การสร้างงานที่มีคุณค่า การส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรม รวมถึงการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน โดย กระทรวงพาณิชย์บูรณาการการทำงานเป็นหนึ่งเดียว คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก พิจารณาความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างสมดุล เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน ตามนโยบายที่ตนให้ไว้กับกระทรวงฯ คือ ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย และพาณิชย์พึ่งได้
สำหรับ รางวัล “สำเภา-นาวาทอง” จะเป็นแรงกระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง ตอบสนองความต้องการของประชาชน และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งนายจตุพรได้ให้นโยบายทำโครงการ MOC Fondue แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้เข้าถึงได้โดยง่าย และจะทดลองทำ sandbox สำหรับสินค้าเกษตร เพื่อแก้ปัญหาโอเวอร์ซัพพลายและปรับปรุงระบบการค้าภายในประเทศอย่างเป็นระบบ ซึ่งการพัฒนาภาครัฐต้องผสานความร่วมมือกับเอกชนและประชาสังคม ผู้บริหารและนักวางแผนต้องมีวิสัยทัศน์ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐเป็นที่พึ่งของประชาชน พร้อมรับมือความท้าทายใหม่ ทั้งในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น พร้อมเชิญชวนทุกหน่วยงานร่วมพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การสร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการทำธุรกิจและการลงทุน (Ease of Doing Business และ Ease of Investment) เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ โดยในปีที่ผ่านมา หอการค้าฯ ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐ 22 แห่ง นำร่องเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อลดขั้นตอน ลดการเรียกเอกสาร และยกเลิกการเซ็นสำเนา ซึ่งสามารถลดกระบวนการได้กว่า 500 รายการ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 7,000 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐให้ทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ประกอบการ ทั้งนี้ รางวัล “สำเภา–นาวาทอง” ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเชิดชูเกียรติ แต่ยังเป็นแรงผลักดันที่กระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานของภาครัฐมีความ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานคณะกรรมการสนับสนุนการลงทุนและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ กล่าวเสริมว่า รางวัล “สำเภา-นาวาทอง” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการทำงานเชิงรุกที่มองไปในอนาคต โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในการประเมินผลอย่างเข้มข้น โดยยึดหลัก 3 ประการคือ Efficiency (ประสิทธิภาพ), Evolution (การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล), และ Effectiveness (ผลสัมฤทธิ์) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่าที่สุด สะท้อนแนวคิด “มุ่งอนาคต รุกนำการเปลี่ยนแปลง” (Proactive & Predictive)
รางวัล “สำเภา–นาวาทอง” ปี 2568 แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ รางวัลระดับกระทรวง, ระดับกรม, ระดับกระบวนงาน และระดับภูมิภาค โดยมีหน่วยงานที่ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 39 หน่วยงาน นับเป็นหลักฐานชัดเจนถึงความมุ่งมั่นและความสำเร็จของภาครัฐในการยกระดับคุณภาพการให้บริการ เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : จตุพรโชว์วิชั่นการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน รับมือวิกฤตโลกเปลี่ยน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th