ลงทุนไทยแรงสุดในรอบ 10 ปี โต 35% ดึงทุนเอเชียทะลัก
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวในงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges หัวข้อ “Thailand’s Competitiveness & Investment Outlook” ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค สะท้อนจากการลงทุนในปี 2567 ที่เติบโตจากปีก่อนถึง 35% สูงสุดในรอบ 10 ปี
โดยมีนักลงทุนหลักจากสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง และไต้หวัน จุดแข็งของไทยคือโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม ทั้งท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติ ระบบคมนาคม และศูนย์ข้อมูลขั้นสูง นอกจากนี้ไทยยังได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรีแล้ว 17 ฉบับ ครอบคลุม 74 ประเทศ และกำลังเจรจากับสหภาพยุโรปและแคนาดา
ด้านภาคธุรกิจ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ยืนยันว่าเครือฯ ยังคงลงทุนในไทยต่อเนื่องปีละราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงบริษัทในเครือ เช่น CP Axtra, CPF และ CP All ก็ลงทุนรวมกันกว่าปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์เช่นกัน เขามองว่าไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีและข้อมูล รวมถึงการพัฒนา AI ทำให้ไทยเป็นฐานลงทุนอันดับหนึ่งของจีนในอาเซียน
นายชวพล จริยาวิโรจน์ ประธานหัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หัวเว่ยเข้ามาลงทุนในไทยกว่า 28 ปีแล้ว เพราะเล็งเห็นศักยภาพเชิงภูมิศาสตร์และความต้องการเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้ปัจจุบันไทยกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีในอาเซียน และมีศักยภาพที่จะขยายสู่การเป็นศูนย์กลางโลกในอนาคต นโยบายรัฐอย่าง Cloud First Policy ยังสะท้อนความสำคัญที่ไทยให้ต่อการพัฒนาเทคโนโลยี และช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
สำหรับกำแพงภาษีของสหรัฐที่ปรับเหลือ 19% นายนฤตม์เห็นว่าเป็น “เกมระยะยาว” ที่ยังเจรจาได้ต่อเนื่อง โดยไทยยังมีความได้เปรียบจากพื้นฐานเศรษฐกิจและทีมเจรจาที่พยายามรักษาผลประโยชน์ ขณะที่นายศุภชัยมองว่าซีพีกลับได้ประโยชน์จากการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐ และเน้นย้ำว่าภาคเกษตรกรรมไทยควรเร่งพัฒนาเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวโพด และผลไม้ เพื่อยกระดับสู่มาตรฐานสากล
ในมิติซัพพลายเชน นายชวพลมองว่าความท้าทายสร้างโอกาสใหม่ ธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชนต้องพัฒนาบริการหลากหลาย พร้อมใช้ AI และเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ หัวเว่ยเองลงทุนวิจัยและพัฒนาสูงถึง 25% ของงบรายปี เพื่อผลักดันมาตรฐานเทคโนโลยีโลก
ทั้งนี้ ปัญหาช่องว่างทักษะแรงงานยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ ไทยจึงต้องเร่งดึงแรงงานต่างชาติเข้ามาช่วยถ่ายทอดความรู้ควบคู่กับการพัฒนาแรงงานไทย ขณะที่การลงทุนในภาค Wellness และการแพทย์ยังช่วยเสริมความน่าดึงดูดของประเทศในสายตานักลงทุนและแรงงานต่างชาติ โดยรวมแล้ว แม้เผชิญความท้าทายหลายด้าน แต่ไทยยังคงเป็น “ที่ที่ใช่” สำหรับการลงทุนระยะยาว