ทายาทมรดก 300 ล้าน แฉสะเทือนแก๊งทนายมิจฯ รวมหัวโกง 57 ล้าน
วันที่ 28 ส.ค. 68 เวลา 10.30 น. ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา สส. ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ รองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน คนที่หนึ่ง รับยื่นหนังสือจาก นายชาญวุฒิ เมฆรักษาวนิช อายุ 59 ปี บุตรชาย นางน้อย เมฆรักษาวนิช ทายาทของนางชูจิตต์ วงศาธิปัตย์ เจ้าของมรดกจำนวนหลายร้อยล้านบาท ผู้เสียหาย เพื่อขอให้ กมธ. พิจารณาปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่การตรวจสอบกระบวนการไกล่เกลี่ยยอมความที่ศาล การยึดทรัพย์บังคับคดี การตรวจคุณสมบัติผู้สมัครทนายความก่อนได้รับใบอนุญาตว่าความ รวมถึงการปรับปรุงฐานข้อมูลให้เป็นดิจิทัลของศาล กรมบังคับคดี และสภาทนายความ ให้สามารถเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ฉับไว เพื่ออุดช่องโหว่มิให้มิจฉาชีพใช้เป็นโอกาสก่ออาชญากรรม
นายชาญวุฒิ เปิดเผยว่า ปรากฏว่ามีขบวนการทนายมิจฉาชีพอย่างน้อย 6 คน จากสำนักงานกฎหมายมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้สมคบคิดกันปลอมแปลงสัญญาเงินกู้ 3 ฉบับ โดยแบ่งหน้าที่กันทำ เป็นทั้งทนายโจทก์และทนายจำเลย ยื่นฟ้องกันที่ศาลจังหวัดอุบลราชธานีในปี 2564 รวมทั้งหมด 3 คดี แล้วปลอมแปลงสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้น 3 ฉบับ เพื่อพาโจทก์กับจำเลย ซึ่งอยู่ในขบวนการสมคบคิดเดียวกัน ไปเซ็นสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาตามยอม สุดท้ายให้จำเลยทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความตั้งแต่นัดแรก เพื่อนำไปสู่การตั้งเจ้าพนักงานยึดที่ดินขายทอดตลาด 3 แปลง อายัดเงินฝากในธนาคาร 2 บัญชี มูลค่าความเสียหายกว่า 57 ล้านบาท ตามราคาประเมินของกรมที่ดิน (คิดตามมูลค่าตลาดจะอยู่ประมาณ 200 ล้านบาท)
จากการสืบสวนค้นข้อมูล ปรากฏว่า ทนายความอย่างน้อย 1 คน ในขบวนการนี้ ถูกศาลล้มละลายกลางพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 ก่อนที่จะได้ใบอนุญาตทนายในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน การกระทำดังกล่าวผิดพระราชบัญญัติทนายความปี 2527 อย่างชัดเจน
จึงขอให้คณะ กมธ. ใช้เรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นกรณีศึกษา ในการทบทวนปรับปรุงเรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นขอใบอนุญาตทนายความของสภาทนายความแห่งประเทศไทย ซึ่งใช้เงินภาษีประชาชนปีละหลายสิบล้านบาท
นายชาญวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้ยื่นเรื่องดังกล่าวร้องเรียนมารยาททนายความไปยังสภาทนายความเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และยังได้แจ้งความเอาผิดกลุ่มทนายมิจฉาชีพเหล่านี้ต่อ กก.5 บก.ป. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อเดือนมีนาคม เนื่องจากวิธีการของกลุ่มทนายความเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายท้องที่ มีความสลับซับซ้อนและเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน จึงต้องให้กองบังคับการปราบปรามซึ่งมีความเชี่ยวชาญทำคดีสอบปากคำตนไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังพิจารณาออกหมายเรียกผู้ที่ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้าน สส. ศศินันท์ กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากนายชาญวุฒิ เรียกร้องให้ กมธ. นำคดีที่เกิดขึ้นกับครอบครัวมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อให้มีการแก้ไขปรับปรุงระบบต่าง ๆ ของกระบวนการยุติธรรมต่อไป ซึ่งปัจจุบันนายกสภาทนายความคนใหม่มีแนวคิดที่จะทำระบบฐานข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะดังกล่าวอีก ทางคณะกรรมาธิการจะนำไปเป็นกรณีศึกษาต่อไป