จีนเพิ่งจะรู้รสชาติการถูก'เขมรแปรพักตร์'เหมือนไทย แต่ก็ไม่อาจเสียกัมพูชาในฐานะพันธมิตร
'เขมรแปรพักตร์' เป็นคำที่คนในวงการประวัติศาสตร์คุ้นหูดี เพราะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใน 'กรุงยโศธรปุระ' หรือเมืองพระนคร (นครวัด นครธม) ซึ่งในเวลานั้นน่าจะอยู่ภายใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยามาระยะหนึ่งแล้ว
ดังนั้น เมื่อได้ข่าวว่า 'เขมรแปรพักตร์' กรุงศรีอยุธยาจึงส่งกองทัพไปเมืองหลวงของเขมรคือกรุงยโศธรปุระเพื่อทำการปราบและยึดดินแดนนั้นให้มั่นคง โดยใช้เวลาหลายครั้งกว่าจะ "สงบราบคาบ" แล้วตั้ง 'ลูกหลวง' ของกรุงอยุธยาขึ้นเป็นผู้ปกครองกรุงยโศธรปุระ
แต่เขมรนั้นช่ำชองในเรื่องแปรพักตร์จริงๆ ในภายหลังก็ขบถกับลูกหลวงผู้ปกครองกรุงยโศธรปุระ เกิดสงครามวุ่นวายแล้วมีเจ้าเขมรตั้งตัวเป็นใหญ่ ทำการอพยพย้ายศูนย์กลางการปกครองลงใต้ไปเพื่อให้ห่างจากกรุงศรีฯ แต่นั้นมาเมืองหลวงของเขมรก็อยู่ในดินแดนที่เรียกว่า 'เขมรส่วนนอก' ในขณะที่ 'เขมรส่วนใน' อยู่ในอำนาจของสยาม
กระนั้นก็ตาม เขมรไม่ได้เก่งแค่แปรพักตร์ แต่ยังเก่งเรื่องลอบกัดด้วย เวลาใดที่กรุงศรีอยุธยาตกที่นั่งลำบาก เช่น มีศึกกับพม่า พวกเขมรก็จะยกทัพมาตลบหลัง เข้ามาตีหัวเมืองตะวันออกหลายครั้ง แล้วกวาดต้อนผู้คนกลับไป แม้แต่ยกทัพเรือจะมาปล้นเมืองเพชรบุรีก็เคยทำ
เขมรจึงไว้ไใจไม่ได้ดังนี้ เพราะทั้งแปรพักตร์ (ทำทีเป็นยอมแล้วก็หักหลัง) และทั้งแทงข้างหลังเวลาไทยลำบาก (ชอบลอบกัดในเวลาที่อีกฝ่ายอ่อนแอ)
คนไทยจึงรู้ 'สันดานเขมร' เป็นอย่างดี แต่บางครั้งเพราะคนไทยใจดี (และบางครั้งเพราะโลภมาก) จึงลืมสันดานเขมรเหล่านั้น ทำให้วางใจกัมพูชาร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้าไปช่วยเหลือทั้งเรื่องความมั่นคงและเศรษฐกิจ สุดท้ายพอปีกกล้าข้าแข็ง เขมรก็แปรพักตร์และแทงข้างหลังเราอีก
ดังนั้น คนไทยทุกวันนี้จึงควรจะเลิกหลงเสียที และหากวันไหน 'สงคราม' สงบลงก็ไม่ควรจะวางใจเขมรแบบเต็มร้อยอีก อย่างที่ผมเคยเตือนไว้ว่า ไทยต้องข่มเขมรเท่านั้น ถึงจะอยู่อย่างเป็นสุขและไร้กังวลได้
ประเทศจีนนั้น แม้จะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับกัมพูชามาตั้งแต่ยุคเขมรแดง ทำการเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าสีหนุ และต่อมายังใกล้ชิดและช่วยเหลือรัฐบาตระกูลฮุนเอาไว้มาก
แต่จีนยังไม่เคยรู้รสชาติของการถูกแปรพักตร์และแทงข้างหลังโดยกัมพูชาครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนไทย
อันที่จริงแล้ว ประสบการณ์ของจีนในการจัดการความสัมพันธ์กับกัมพูชาก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป แม้ในช่วงเขมรแดงที่จีนช่วยเหลือเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถสั่งการเขมรแดงอะไรได้มาก
ในยุคระบอบตระกูลฮุนก็เช่นกัน จีนทุ่มเทความช่วยเหลือมากมายให้กัมพูชา และกัมพูชาก็ตอบสนองความต้องการของจีนอย่างดี เรื่องนี้สืบเนื่องมานานนับสิบปี จนดูเหมือนจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง กระทั่งกัมพูชาถูกเรียกว่าเป็น 'รัฐบริวาร' ของจีน
แต่แล้ว 'เขมรแปรพักตร์' จีนเสียอย่างนั้น โดยหันไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลทรัมป์ให้เข้ามาแทรกแซงสงครามกับไทย และยังฟื้นความร่วมทางทหารที่ตัดขาดไประยะหนึ่งในช่วงที่กัมพูชาสนองจีนอย่างมาก
ดีไม่ดี จะดึงสหรัฐฯ เข้ามายุ่งเรื่องแร่ธาตุหายากที่มีมากมายในจังหวัดพระวิหาร อันเป็นพื้นที่ขัดแย้งกับไทยเสียด้วย โดยที่แร่ธาตุหายากในเวลานี้ถือเป็นหัวใจของความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ไปทั่วโลก โดยเฉพาะระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
เขมรนั้นไม่สนสี่สนแปด ขอให้ตัวเองชนะก็พอ แม้จะต้องทำลายเพื่อนบ้าน และตัดขาดมิตร พวกเขาก็ทำ
การดึงสหรัฐฯ เข้ามาทำให้จีนเป๋แน่นอนอยู่แล้ว เพราะไม่เพียงเสียง 'รัฐบริวาร' ให้ฝ่ายศัตรู แต่รัฐบริวารนี้ยังอาจกลายเป็นหอกข้างแคร่เอาง่ายๆ
ไทยนั้นเป็นเพื่อนที่ดีกับจีนและยังป็นพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ การถ่วงดุลของไทยนั้นทำให้มหาอำนาจอยู่ในภาวะ Détente คือเผชิญหน้าแต่ไม่ลุย และเป็นตัวช่วยสลายความตึกเครียดในการเมืองโลก นับว่าไทยเป็นประเทศที่ช่วยลดความขัดแย้งในวงกว้างลงได้
แต่กัมพูชานั้นมักจะเชื้อเชิญมหาอำนาจเข้ามาย่ำยีภูมิภาคนี้ นับแต่ตั้งกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงเทพฯ สมัยอินโดจีนฝรั่งเศส และสมัยเอกราช เขมรมักเลือกข้างแบบสุดโต่งหรือไม่ก็อ้างความเป็นกลางแบบชุ่ยๆ แต่แล้วก็ทำให้ประเทศตัวเองเป็นสมรภูมิของมหาอำนาจ จนถึงบัดนี้ระบอบฮุนก็ยังใช้ Playbook แบบเดียวกัน
ผลคืออะไรรู้ไหมครับ? ผลคือกัมพูชาพินาศมาครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น พอเจ้าเขมรจะฆ่ากันเองเพื่อแย่งอำนาจ ฝ่ายหนึ่งก็ไปของพึ่งอำนาจเวียดนาม อีกฝ่ายก็พึ่งอำนาจไทย ทำให้เวียดและไทยต้องทำสงครามกัน ต่อมาก็วิ่งไปหาฝรั่งเศสให้ช่วยคุ้มหัวทำให้ไทยกับฝรั่งเศสต้องรบกับเพราะเขมรอีก พอได้เอกราชก็วิ่งไปปั่นหัวฝ่ายคอมมิวนิสต์กับโลกเสรีเพื่อที่จะอ้างว่าวางตัวเป็นกลางในสงครามเย็น สรุปว่าดำเนินการพลาดทำให้ถูกมหาอำนาจจูงจมูกและใช้เป็นสมรภูมิ ผลก็คือเขมรย่อยยับ จนบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นดี ขณะที่เวียดนามเจอสงครามหนักกว่า ตอนนี้ไล่ตามไทยมาติดๆ แล้ว
สาเหตุที่เขมรทำตัววุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าและไม่เคยเจริญกัเขาสักที ก็เพราะ 'สันดานเขมร' ที่ผมว่าไว้นั่นเอง ทำให้ประเทศตัวเองเป็นนรกบนดินครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่และครับ คือลักษณะแท้จริง (สันดาน) ของกัมพูชาที่จีนเพิ่งประจักษ์ นั่นคือ เขมรแปรพักตร์ และ เขมรแทงข้างหลัง
แม้จะมีบางคนจินตนาการไปว่า "จีนจะต้องลงโทษกัมพูชาแน่ๆ" หรือไม่ก็ฝันเฟื่องว่า "คราวนี้จะต้องเข้าข้างไทย" ความคิดเหล่านี้เป็นแค่ "การมโนทางการเมือง" โดยไม่ได้พิจารณา 'การเมืองเรื่องปฏิบัตินิยม' (Realpolitik) ของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จีนนั้นมีแนวคิดเรื่อง 'การเมืองเรื่องปฏิบัตินิยม' สูงมาก คือจีนจะมองเรื่อง 'ประโยชน์' มากกว่าเรื่องอุดมการณ์ ความรัก ความชัง การแก้แค้น หรือตอบแทนคุณ แต่จะมองว่า 'การเมือง' นั้นๆ ให้ประโยชน์อะไรกับจีน
พูดง่ายๆ ก็คือ แม้ว่ากัมพูชาจะแปรพักตร์หรือหักหลังจีน แต่ถ้ากัมพูชายังมีประโยชน์กับจีน จีนก็จะไม่ทอดทิ้งกัมพูชา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการลงโทษหรือแก้แค้น
ดังนั้น หลังจากที่มีข่าวเรื่องกัมพูชา 'เลีย' ทรัมป์และเอนเอียงไปทางสหรัฐฯ อย่างออกนอกหน้า แทนที่จีนจะนิ่งเงียบหรือตอบโต้ จีนกลับยิ่งนำเสนอตัวเองเป็นผู้ร่วมมือกับกัมพูชาโดยเฉพาะการลงทุนและเศรษฐกิจ
มองอีกแง่ก็คือ จีนยังไม่ยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาชิงพื้นที่ง่ายๆ เพราะลงทุนไปมากแล้วและกัมพูชายังเป็น 'หมุดหมาย' สำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับจีน จีนจึงแสดง (หรือลำเลิก?) ความเป็น 'ผู้อุปถัมภ์' ของกัมพูชาให้ชัดขึ้นในแง่เศรษฐกิจ และยังส่งสัญญาณไปยังกัมพูชาด้วยว่า ประเทศนี้ยืนด้วยลำแข้งตัวเองไม่ได้ หากขาด 'ผู้อุปถัมภ์' เพราะสหรัฐฯ ไม่มีทางอุปถัมภ์กัมพูชาง่ายๆ
เรื่องนี้ไทยรู้ดีกว่ากัมพูชาเสียอีก จึงดำเนินยุทธศาสตร์ที่รอบคอบกว่า แต่กัมพูชานั้นมีกมลสันดานที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ จีนจึงต้องแสดงบทบาทของตนให้ชัดขึ้นเพื่อย้ำเตือนไปยังกัมพูชา
จีนถึงเชิญผู้แทนไทยกัมพูชาไปร่วมหารือครั้งแล้วครั้งเล่า และล่าสุด หวางอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนรับหน้าที่เองเป็นเจ้าภาพ "เลี้ยงน้ำชา" รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยกับกัมพูชาที่เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน เพื่อาหรือเรื่องการหยุดยิง
ในวาระนี้ หวังอี้ถึงกับบอกว่า "ดังสุภาษิตจีนโบราณที่ว่า "พี่น้องทะเลาะกันภายในรั้วบ้าน แต่ร่วมปกป้องการรุกรานจากภายนอก" ไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านและพี่น้องกันอย่างถาวร เราเชื่อมั่นว่าทั้งสองฝ่ายสามารถจัดการข้อพิพาทเฉพาะเจาะจงได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
คำกว่า "แต่ร่วมปกป้องการรุกรานจากภายนอก" สะท้อนว่า จีนต้องการให้ไทยกับกัมพูชาเลิกทะเลาะและสามัคคีกันไว้ หาไม่แล้ว จะเป็นเป้าในการรุกรานจากภายนอกได้ง่าย ซึ่งควรจะหมายถึงสหรัฐฯ โดยที่เป้าการรุกรานก็ไม่ใช่ไทยหรือกัมพูชา เป็นจีน
นี่คือเป้าหมายของ 'ประโยชน์นิยม' ที่จีนต้องการให้ไทยกับกัมพูชาหันมาเป็นพี่น้องกันอีกครั้ง
ผมกล่าวไว้ในบางวาระว่า ไทยกับกัมพูชาเป็น 'พี่น้อง' ในทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะวัฒนธรมเขมรและไทยภาคกลางนั้นคล้ายคลึงกันมาก
แต่เพราะการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ทำให้ทั้งสองประเทศต้องแยกตัวเองจากความเป็นพี่น้อง โดยแต่ละชาติต้องสร้างตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากประเทศอื่น แบบนี้ชาติไทยและชาติกัมพูชาจึงกลาย 'เป็นอื่น' (Others) เพราะกระบวนการสร้างรัฐชาติ
แม้จะทำตัวเป็นรัฐอื่นรัฐไกลจากกัน แต่ต่างคนต่างอยู่มันไม่มีปัญหาหรอกครับ
กระนั้นกัมพูชาไม่เพียงสร้างความป็นอื่นต่อไทย แต่ยังทำให้ไทยเป็นผู้ร้าย (Vilification) ด้วยเพราะต้องการสร้างชาตินิยมอันเป็นพิษ (Toxic nationalism) โดยไม่ได้คำนึงถึงความเกี่ยวดองทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดังนั้นความเป็นพี่น้องระหว่างไทยกับเขมรจึงขาดสะบั้น เพราะนักการเมืองเขมรที่วิสัยทัศน์สั้น
ขณะที่ไทยผ่อนคลายชาตินิยมที่มองเพื่อนบ้านเป็นศัตรู ด้วย 'แนวทางของอาเซียน' (อย่างที่หวังอี้อ้างถึง) แต่กัมพูชายิ่งระดมล้างสมองให้ประชาชนเป็นประเทศไทยเป็นศัตรูมานานและเลวร้ายลงทุกวัน ไทยจึงไม่ได้เป็นญาติกัมเขมร แต่ถูกมองว่าเป็น 'โจรสยาม' ที่เขมรจะต้องแย่งชิงทุกสิ่งมากจากมัน
ดังนั้น จีนต้องการจะให้ไทยกับเขมรรู้สึกเป็นพี่น้องกันนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ Realpolitik เอาซะเลย แต่อุดมคติจัดๆ แถมยังทำให้ไทยต้องยอมอ่อนให้ประเทศที่ไร้สามัญสำนึกอย่างกัมพูชาเสียด้วยซ้ำ
แต่ในแง่การเล่นการเมือง นี่คือ Realpolitik ของจีนจริงๆ เพราะจีนไม่หวังอะไรนอกจากจะให้ไทยกับกัมพูชาเลิกทะเลาะกัน เพราะหาไม่แล้วยุทธศาสตร์ของจีนในภูมิภาคนี้จะสั่นคลอน และเสี่ยงที่จะเสียกัมพูชาไปให้กับสหรัฐฯ อีกด้วย
ดังนั้นจีนจึงไม่มีทางอื่นนอกจากจะกล่อมให้ทั้งสองประเทศยอมๆ กัน โดยบอกว่าทั้งสองประเทศเป็นพี่เป็นน้องกัน
แต่ก็อย่างที่ว่าไว้ ความเป็นพี่น้องมันขาดสะบั้นลงแล้ว
อีกประการหนึ่งก็คือ รัฐบาลไทยแทบไม่ได้กระดิกทำอะไรเพื่อที่จะตอบโต้กัมพูชาที่โจมตีไทยทั้งสงครามข่าวสารและการยิงจริงๆ และวางระเบิดจริงๆ ด้วยเหตุนี้ นอกจากคนไทยจะชิงชิงกัมพูชาเข้ากระดูกดำแล้ว ยังเกลียดรัฐบาลของตอนอย่างหาที่เปรียบมิได้
ดังนั้น ผมเกรงว่าการคุยระหว่างรัฐบาลโดยมีจีนเป็นเจ้าภาพ อาจจะไม่ได้ 'ถูกใจ' คนไทยนัก เพราะใจของคนไทยตอนนี้ต้องการเห็นกัมพูชา 'แพ้' ไม่ใช่ ยอมความกันโดยเท่าเทียม
นี่ไม่ได้หมายความว่าจีนทำไม่ถูกต้อง ตรงกันข้ามสิ่งที่จีนทำนั้นเป็นสิ่งสมควรในฐานะ 'พี่ใหญ่' ของทั้งไทยและกัมพูชา ต่างราวกับฟ้ากับเหวเมื่อเทียบกับการกระทำของรัฐบาลทรัมป์
เพียงแต่ความขัดแย้งของทั้งสองประเทศนั้นไม่สามารถแก้ไขในระดับรัฐบาลได้อย่างเดียว เพราะรัฐบาลไทยมีสภาพเหมือนจะ dysfunction (เสื่อมหน้าที่หรือกลไกการทำงาน) ไปแล้ว คือ เหมือนะจะปล่อยเกียร์ว่างกับปัญหากัมพูชา แต่แล้วก็ยังเหมือนจะขวางกองทัพ มีสภาพอิหลักอิเหลื่อเหมือน 'ซอมบี้'
ดังนั้น การเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยไปคุยแบบ 'ดื่มชาไปคุยกันไป' ผมเกรงว่าจะได้เแค่จิบชาเท่านั้น
ยังไม่นับการที่ความพยายามที่จีนจะดึงกัมพูชากลับมาเป็นพวกตนอาจจะไม่ได้ผล เพราะกัมพูชายืมมือ 'พวกอเมริกัน' มาโจมตีไทยครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุด คืออาจจะไปจ้างลอบบี้ยิสต์ที่เคยทำงานระดมทุนให้ทรัมป์ มาทำโฆษณาชวนเชื่อใส่ร้ายไทยเสียๆ หายๆ ยิ่งทำให้ไทยเกลียดชังเกมสกปรกของกัมพูชา ที่ลงทุนขายตัวให้สหรัฐฯ เพื่อจะเอาสหรัฐฯ มาทำลาย 'มหามิตร' ของสหรัฐฯ คือไทย โดยที่ไทยก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีและเป็น 'เครือญาติร่วมวงศ์กับจีน'
พฤติกรรมของกัมพูชาจึงเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างยิ่ง
สันดานแบบนี้ไม่เพียงทำให้สันติภาพต้องล่าช้า แต่ยังทำลายความกลมเกลียวระหว่างไทย-กัมพูชา-จีน ที่จีนปรารถนาอีกด้วย
ดังนั้นคนไทยจึงอยากเห็นจีนสั่งสอนกัมพูชา ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างไทย เพียงแค่ใช้ไม้แข็งหรือพระเดชกับประเทศที่ก่อกวนสันติภาพของอาเซียนเสียบ้าง
จีนยังอาจจะไม่ทราบว่าบรรยากาศชาตินิยมในไทยตอนนี้ถึงขีดสุดแล้วหลังจากสงบนิ่งมาหลายสิบปี บางคนในยุคนี้เกิดมารังเกียจคำว่าชาตินิยมด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันกลับตาละปัตรแล้ว ขนาดการรบคราวที่แล้วคนไทยยังไม่ชาตินิยมขนาดนี้ ซึ่งอาจเป็นเพราะไทยในเวลานั้นแตกแยกด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ตอนนี้ "รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" ของจริง
ด้วยปัจจัยนี้จึงทำให้การยอมหยวนๆ กับกัมพูชาจึงแทบจะไม่ 'ปฏิบัตินิยม' เอาเลยในความคิดของคนไทย มันจึงสวนทางกับ 'ปฏิบัตินิยม' หรือ Realpolitik ของจีนที่ต้องการรักษากัมพูชาเอาไว้ในวงอิทธิพลของตนเพื่อรักษายุทธศาสตรในอาเซียนของตน
แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายอีกแล้ว เพราะ 'ปฏิบัตินิยม' ของจีนต่อกัมพูชาอาจกระทบต่อการรับรู้ของคนไทย ซึ่งตอนนี้ความรู้สึกไวต่อประเทศใดๆ ที่เข้ามายุ่งกับกัมพูชา ทั้งสหรัฐฯ จีน ฝรั่งเศส มาลเซีย แม้แต่เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
การดำเนินนโนบายที่ผิดพลาดนิดเดียวของประเทศเหล่านี้ จะส่งผลต่อการรับรู้ของคนไทยอย่างมาก
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - Chinese Embassy in Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน