รับเยียวยา7จว. ชะลอขึ้นค่าแรง ธนาคารช่วยอุ้ม
“พิชัย” เผยรัฐบาลรับข้อเสนอหอการค้าฯ เยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัดชายแดน 4 มาตรการหลัก ปรับลดยกเว้นชะลอจัดเก็บภาษี ชะลอขึ้นค่าแรง 400 บาท ลดอัตราเงินสมทบประกันสังคม นำเข้าแรงงานทดแทนจากต่างประะเทศ ผ่อนปรนแรงงานกัมพูชากลับเข้ามาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กระตุ้นการท่องเที่ยว เตรียมถก ธ.พาณิชย์ คุยมาตรการช่วยเหลือ
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 21 สิงหาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เปิดเผยภายหลังหารือกับนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และคณะ ที่เดินทางเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเยียวยากรณีผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ารัฐบาลได้รับข้อเสนอมาตรการเยียวยาผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนของภาคเอกชน เพื่อรวบรวมออกเป็นมาตรการมารองรับผลกระทบที่เกิดขึ้น เบื้องต้นในปัญหาด้านแรงงานและการจ้างงาน รวมถึงการฟื้นฟูธุรกิจ การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เช่น การดึงงานสัมมนาไปจัดในพื้นที่ และมีสิทธิพิเศษทางด้านภาษี
นายพิชัยกล่าวว่า ในส่วนข้อเสนอด้านแรงงานและการจ้างงานนั้น จะนัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะบริหารจัดการแรงงานอย่างไร ทั้งแรงงานที่อยู่ในประเทศ แรงงานที่มีใบอนุญาตอยู่แล้วจะให้ทำงานต่อได้หรือไม่ หรือแรงงานที่ไม่มีใบอนุญาต ก็ต้องดึงมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง รวมถึงการจัดหาแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เช่น แรงงานบังกลาเทศ เป็นต้น ส่วนมาตรการช่วยเหลือทางด้านภาษี ที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติมาตรการภาษีไปแล้วหลายรายการ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกับการยืดระยะเวลา การชะลอการจัดเก็บภาษีต่างๆ ที่รัฐบาลได้เร่งออกมาช่วยเหลือ ส่วนมาตรการทางการเงิน ขณะนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีมาตรการออกมาช่วยเหลือหลายอย่าง เหลือเพียงธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งรัฐบาลจะประสานธนาคารต่างๆ มาหารือเพื่อจัดทำมาตรการช่วยเหลือออกมาอีกครั้ง
"รัฐบาลได้รับทราบผลกระทบจากภาคธุรกิจ ซึ่งทางหอการค้าฯ ได้รวบรวมจากทุกคนที่ได้รับผลกระทบมายื่นให้รัฐบาลพิจารณา จากนี้จะดูเป็นเรื่องๆ เป็นกลุ่มธุรกิจ เพื่อพิจารณาว่าใครได้รับผลกระทบเรื่องอะไร และคงต้องดูทางฝ่ายความมั่นคงประเมินด้วยว่าสถานการณ์ในพื้นที่จะเป็นอย่างไร จะได้เร่งขั้นตอนการฟื้นฟู" นายพิชัยกล่าว
ด้านนายพจน์เปิดเผยว่า ภาคเอกชนเห็นว่าสถานการณ์เองคลี่คลายลงแล้ว จึงได้มายื่นข้อเสนอที่รวบรวมจากเอกชนมาเสนอให้รัฐบาล เพื่อจะได้เร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาทั้ง 7 จังหวัด คิดว่าภาครัฐจะสามารถดำเนินการได้และมีความเหมาะสม ส่วนข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือมี 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วยมาตรการทางด้านภาษีค่าธรรมเนียม ดังนี้ 1.ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดให้นิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนที่จัดประชุมสัมมนา หรือศึกษาดูงานและเข้าพักในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนที่กำหนดสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง 2.ขอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณามาตรการลดภาษีในส่วนของภาษีท้องถิ่น ได้แก่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย รวมถึงภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ลดอัตราภาษีลง 90% จากอัตราที่กำหนดไว้เดิม 3.ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาใช้มาตรการภาษีเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัด ดังนี้ ยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม สำหรับผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ต่ำ/เกินกว่า 25% ของกำไรสุทธิ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่สงบ, ขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษี 3-6 เดือน ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในพื้นที่, ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก 3% เหลือ 1% เป็นเวลา 1 ปี
สำหรับมาตรการการเงินเพื่อสภาพคล่องผู้ประกอบการ ได้แก่ 1.ขอให้ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ ในลักษณะที่สอดคล้องหรือใกล้เคียงกับมาตรการของสถาบันการเงินของรัฐที่ได้มีมาตรการช่วยเหลือออกมาแล้ว 2.ขอให้ธนาคารภาครัฐออกมาตรการ “เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำฉุกเฉิน” ในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อครัวเรือน และดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ต่อปี โดยยกเว้นการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยใน 12 เดือนแรก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเร่งด่วนของครัวเรือนในพื้นที่ 3.พิจารณาจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูชายแดน วงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ในส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1.ขอให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิจารณามาตรการสนับสนุนหรืองบประมาณแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับการจัดกิจกรรมสัมมนาและศึกษาดูงานในพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยกำหนดพื้นที่ที่มีความปลอดภัยเป็นลำดับแรกๆ 2.ขอให้ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่มีแผนจัดประชุม สัมมนา หรือศึกษาดูงาน พิจารณาเลือกใช้สถานที่ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนเป็นพื้นที่สำหรับการจัดประชุม สัมมนา หรือศึกษาดูงานเป็นลำดับแรก เพื่อเป็นการส่งเสริมการกระจายรายได้และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับมาตรการด้านแรงงานและการจ้างงาน ได้แก่ 1.ขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท สำหรับสถานประกอบการในประเภทธุรกิจโรงแรมและสถานบริการ และขอให้ยังคงใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่เคยกำหนดไว้เดิม 2.ปรับลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนลงให้เหลือ 0.5% เป็นเวลา 1 ปี รวมทั้งขยายกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 (อ้างอิงกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) 3.สนับสนุนนำเข้าแรงงานทดแทนจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม เช่น สปป.ลาว หรือเมียนมา โดยปรับขั้นตอนการนำเข้าแรงงานให้รวดเร็วและง่ายขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าแรงงาน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้แรงงานต่างด้าวในการลงทะเบียนและขออนุญาตทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเสนอให้นำแรงงานจากประเทศอื่นๆ มาเพิ่มเติม อาทิ จากประเทศบังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น
4.จัดตั้งศูนย์ประสานงานแรงงานระดับจังหวัด เพื่อช่วยจับคู่แรงงานกับผู้ประกอบการที่ต้องการแรงงานเร่งด่วน และประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐในจังหวัดและส่วนกลาง เพื่อให้ดำเนินการได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 5.สำหรับแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย ขอให้พิจารณาผ่อนปรนให้สามารถกลับเข้ามาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยใช้บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) เป็นเอกสารแสดงตนในเบื้องต้น และเมื่อเดินทางเข้ามาแล้ว ให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป 6.สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ปัจจุบันยังคงพำนักและทำงานอยู่ในประเทศไทย ขอให้พิจารณาเปิดช่วงเวลาให้นายจ้างหรือแรงงาน สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนและจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตามกฎหมาย ภายในระยะเวลา 2 เดือน และ 7.ในการจัดทำบันทึกความตกลง (MOU) รอบใหม่ สำหรับแรงงานกัมพูชาที่เคยเข้ามาทำงานในประเทศไทย ขอให้พิจารณามาตรการผ่อนปรนค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนแรงงาน เพื่อจูงใจให้มีการดำเนินการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเสนอให้ลดค่าใช้จ่ายลง 50% หรือมากกว่านั้น ตามความเหมาะสม.