ดัชนีราคาผู้ผลิต ส.ค. 68 ร่วง 3.5% สินค้าล้นตลาด-ค่าเงินบาทแข็ง
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีราคาผู้ผลิตของไทย เดือนสิงหาคม 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 หดตัวจากราคาสินค้าในทุกหมวด โดยราคาสินค้าหมวดผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จากอุปทานส่วนเกินในประเทศสูงตามปริมาณผลผลิตที่ออกมาก ประกอบกับการแข่งขันที่สูงในตลาดส่งออก หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มีทิศทางเคลื่อนไหวตามการแข่งขันด้านราคาของตลาดโลก ประกอบกับค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนสิงหาคม 2568 เท่ากับ 108.3 เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2567 ลดลง 3.5% เป็นผลจากการลดลงของราคาสินค้า หมวดผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมและการประมง ลดลง 10.7% จากสินค้าสำคัญ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกเหนียว จากฐานราคาของปีก่อนที่สูง ประกอบกับการส่งออกในปีนี้หดตัวค่อนข้างมาก อ้อย จากฐานราคาของปีก่อนที่สูง ประกอบกับมีปริมาณผลผลิตมากตามพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
นอกจากนี้ยังรวมถึงการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ทดแทนจากต่างประเทศส่งผลให้ราคาปรับลดลง หัวมันสำปะหลังสด จากความต้องการที่ลดลงในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง จึงส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญลดลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ยางพารา จากราคาส่งออกในปีนี้ที่ลดลงตามการชะลอคำสั่งซื้อจากตลาดปลายทาง พืชผัก (มะนาว พริก กระเทียม) จากปริมาณผลผลิตที่มากขึ้นกว่าปีก่อนตามสภาพอากาศที่เหมาะสม ผลไม้ (ทุเรียน ลำไย) จากราคาส่งออกที่หดตัวตามคุณภาพผลผลิตที่ลดลง และ โคมีชีวิต จากความต้องการบริโภคที่ลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหน้าฟาร์มลดลง
สำหรับสินค้าที่ราคาปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย ผลปาล์มสด จากปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่มีน้อย ในขณะที่ความต้องการสินค้าเพิ่มจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ สุกรมีชีวิต จากต้นทุนการควบคุมโรคที่สูงขึ้น ประกอบกับความต้องการบริโภคในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น และกุ้งแวนนาไม จากปริมาณผลผลิตที่มีน้อยจากต้นทุนการเพาะเลี้ยงที่สูงขึ้น ประกอบกับความต้องการที่มากขึ้นในตลาดส่งออก
หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง ลดลง 13.0% จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียมดิบ และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งราคาเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดโลก สินแร่โลหะ (แร่เหล็ก สังกะสี ยิปซัม) จากอุปสงค์ชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ขณะที่มีการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากการทำเหมือง (หินก่อสร้าง) จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ และ
หมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ลดลง 2.2% จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเตา น้ำมันก๊าด ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และน้ำมันหล่อลื่น เนื่องจากเคลื่อนไหวตามทิศทางราคาตลาดโลก
ขณะที่ กลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี ได้แก่ สารพอลิเมอร์และสารเคมีอินทรีย์อื่น ๆ เม็ดพลาสติกและพลาสติกขั้นต้น ปรับราคาลดลงตามน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบหลัก
กลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า แผงวงจรพิมพ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำและวงจรรวม Integrated Circuit (IC) อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์รับข้อมูล/แสดงผล ปรับตามอุปสงค์ที่ชะลอตัว
กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ มันเส้น น้ำตาลทราย ข้าวสารเจ้า ข้าวนึ่ง ปลาสดแช่แข็ง ปลาป่น และปลากระป๋อง ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่า ประกอบกับการแข่งขันด้านราคาของตลาดโลก
ทั้งนี้ ยังมีการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้แก่ ทองคำ และเครื่องประดับ (เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับพลอย) จากอุปสงค์ของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น
สำหนับแนวโน้มดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนกันยายน ปี 2568 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญจาก
- สินค้าและวัตถุดิบราคาถูกจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มเข้ามาเพิ่มขึ้นตามการลดต้นทุนของผู้ประกอบการ กดดันราคาสินค้าของผู้ผลิตในประเทศ
- การปรับลดราคาสินค้าส่งออกชดเชยอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิต
- การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในการหาตลาดปลายทางใหม่ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออก กดดันราคาสินค้าในภาคการส่งออก
- การปิดด่านบริเวณชายแดนที่ส่งผลกระทบต่อทั้งการค้าชายแดน การค้าผ่านแดน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่โดยรอบ ทั้งนี้ จะต้องมีการติดตามและประเมินผลสถานการณ์ภาคการผลิตอย่างใกล้ชิด
นายพูนพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนสิงหาคม 2568 ปรับตัวลดลงในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์จากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นทั้งในตลาดส่งออกสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกรายสำคัญ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า และกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทั้งนี้ ควรเร่งยุติสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดน เพื่อฟื้นฟูการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ไปพร้อมกับการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และการขยายตลาดใหม่เพิ่มเติม