กระบวนการพูดคุยสันติสุขสามารถประสบความสำเร็จได้ แต่ BRN จะต้องส่งผู้นำตัวจริงมาเจรจา
ในเมื่อกระบวนการเจรจายังมีทางตันจากท่าทีการแอบอ้าง ของแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมาลายา(BRN) และในขณะที่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยหิวโหยความสงบสุข เพราะยังคงประสบกับความทุกข์ทรมานจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี2547 ความสำเร็จของAnwar และรัฐบาลมาเลเซียในการแก้ไขความขัดแย้งไทย–กัมพูชาเปรียบเสมือนมีความหวังใหม่สำหรับพวกเขา
และเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อAnwar แถลงว่า มาเลเซียพร้อมที่จะช่วยสลายความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และพยายามที่จะยุติความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน
นายกรัฐมนตรี มาเลเซียกล่าวว่า จะเพิ่มความพยายามในการหาความสงบนั้นที่จังหวัดดังกล่าว เพื่อให้การศึกษาIslam สามารถดำเนินต่อไปได้และภาษามลายูจะได้รับการยกย่อง
แน่นอนว่า คำแถลงของAnwar นั้น ได้ให้ความหวังต่อชาวไทยมุสลิมในประเทศไทยและความฝันของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะในวันที่11 สิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้แสดงความมุ่งมั่นในการยุติความขัดแย้งนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่จ่อแต่งตั้ง พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข(CPDP)
การแต่งตั้ง พลเอก นิพัทธ์ฯ จะทำให้การพูดคุยสันติสุขที่หยุดชะงักตั้งแต่วันที่1 ตุลาคม2567 กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง หลังจากการแต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยก่อนหน้านี้คือ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(NSC) ของไทย
การแต่งตั้ง พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็กพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะบรรลุการพูดคุยสันติสุข ด้วยการส่งอดีตข้าราชการทหารที่มีประสบการณ์ค่อนข้างสูง เนื่องจากเขาเคยเป็นที่ปรึกษาทหารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความสัมพันธ์ชายแดน, เลขาธิการกระทรวงกลาโหม และล่าสุดเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีในสำนักนายกรัฐมนตรี
ด้วยเหตุนี้BRN จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ส่งผู้นำตัวจริงของตน เพื่อตอบรับกระบวนการพูดคุยสันติสุข ซึ่งก่อนหน้านี้BRN ส่งเพียงผู้นำระดับรองที่ไม่มีอำนาจและมีอคติต่อรัฐบาลไทยมากเกินไป
หากBRN จริงจังในการสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ควรส่งผู้นำที่เกี่ยวข้อง แทนที่จะมอบหมายให้ผู้นำที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ หากBRN ยังคงยึดต่อท่าทีเก่า ๆ ของพวกเขา อย่าหวังผลความสำเร็จเช่นเดียวกับการเจรจาความขัดแย้งระหว่างไทย– กัมพูชา
ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ได้สิ้นสุดลงเพราะทั้งสองประเทศมีความซื่อสัตย์และจริงใจ พวกเขาส่งนายกรัฐมนตรีของตน เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว จึงได้มีการจัดการในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกองทัพของแต่ละประเทศ
แต่BRN ไม่ทำเช่นนั้น เพราะพวกเขามีอคติว่า การเรียกร้องให้แสดงผู้นำตัวจริงของพวกเขาคือกลอุบายของไทย นอกจากนี้BRN จะกลัวอะไรในเมื่อการเจรจาจัดขึ้นที่Kuala Lumpur ไม่ใช่ในประเทศไทย รัฐบาลไทยไม่สามารถจับกุมผู้นำBRN ที่มาพูดคุยได้ตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าผู้นำBRN นั้นจริง ๆ แล้วอาศัยอยู่ในต่างประเทศ
BRN ต้องซื่อสัตย์และจริงใจในการดำเนินการพูดคุยสันติสุขดังกล่าว พวกเขาต้องให้ความสำคัญกับความพยายามที่รัฐบาลไทยทำอย่างต่อเนื่อง ในการค้นหาแนวทางเพื่อให้แน่ใจว่าความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยสามารถยุติได้ มันแปลกเมื่อBRN กล่าวว่าพวกเขากำลังต่อสู้เพื่อสันติสุขและอนาคตของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาเองกลับสร้างกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ทำให้ความพยายามนั้นสั่นคลอน
พวกเขาควรนำผู้นำตัวจริงที่มาหารือ ผู้นำที่สามารถตัดสินใจและให้คำสั่งในพื้นที่จริงเพื่อยุติความรุนแรง แทนที่จะเป็นผู้นำที่มาเพื่อพูดคุยกันเฉย ๆ แล้วกลับบ้านรอผลการตัดสินจากผู้นำชั้นสูง
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากรัฐบาลไทยและBRN มาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกก็มีบทบาทสำคัญที่สามารถเป็นปัจจัยในการกำหนดความสำเร็จของพูดคุยสันติสุขนั้นได้เช่นกัน
โดยไม่มีเจตนาที่จะชี้นิ้วไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผู้เขียนเพียงแค่ต้องการเตือนว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยความสะดวก เขาต้องระมัดระวังในพฤติกรรมของเขา เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกระแวงสงสัยทั้งจากฝ่ายไทยหรือฝ่ายBRN
เราไม่ต้องการให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่จะให้เหตุผลว่าไม่สนใจการพูดคุย เพราะเห็นว่าผู้อำนวยความสะดวกจากมาเลเซียมีอคติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ว่าจะเป็นไทยหรือBRN
ผู้อำนวยความสะดวกควรร่วมมือกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะหน่วยข่าวกรองของมาเลเซียไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือตำรวจผ่านวิธีนี้ ผู้อำนวยความสะดวกไม่เพียงแต่จะได้รับข้อมูลที่ไม่เคยเปิดเผยโดยสื่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อเสนอแนะและคำแนะนำเพื่อให้ภารกิจที่ตนได้รับมอบหมายประสบความสำเร็จ
รัฐบาลไทยได้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการทำให้การพูดคุยสันติสุขประสบความสำเร็จ การแต่งตั้ง พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก แสดงให้เห็นว่าพวกรัฐบาลไทยเชื่อว่าอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางทหารเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะพูดคุย
ฉะนั้น อาจไม่ผิดที่จะกล่าวว่า มาเลเซียควรพิจารณาการแต่งตั้งผู้อำนวยความสะดวกในหมู่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพมาเลเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในการจัดการกับปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในช่วงที่ดำรงตำแหน่งในอดีต
บุคคลที่กล่าวถึงนั้นต้องรู้ธรรมเนียมและวัฒนธรรมของคนปัตตานี มีเครือข่ายกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องความขัดแย้ง และที่สำคัญที่สุดคือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดน นอกจากนี้ต้องได้รับการยอมรับจากทหารและรัฐบาลไทย
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงความคิดเห็นเท่านั้น เนื่องจากโดยปกติแล้วในการพูดคุยเช่นกระบวนการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ทักษะการสื่อสารระหว่างผู้อำนวยความสะดวกกับฝ่ายที่พูดคุย ไม่ว่าจะเป็นกับรัฐบาลไทยหรือ ฝ่ายBRN นั้นสำคัญมาก
สรุปแล้ว การพูดคุยสันติสุขสามารถประสบความสำเร็จได้แน่นอน หากรัฐบาลไทยเปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นBRN ส่งผู้นำตัวจริงมาเป็นตัวแทน และผู้อำนวยความสะดวกต้องมีความสามารถในการเป็นคนกลางที่อ่านกลยุทธ์และวิธีการของทั้งสองฝ่ายได้
หวังว่าความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยจะพิสูจน์ความสามารถของมาเลเซีย ในการเป็นคนกลาง แทนที่จะเป็นเพียงผู้สังเกตที่ไม่มีความสำเร็จใด ๆหากความขัดแย้งในพื้นที่นั้นไม่สามารถแก้ไขได้ มาเลเซียก็คงจะได้รับผลกระทบเช่นกัน…