แบงก์ลดดอกเบี้ย 0.25% เร็วและเต็มที่ ช่วยบรรเทาภาระการเงินลูกหนี้ 5-7 พันล้านบาท
ในช่วงกลางเดือน ส.ค. 2568 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และสถาบันการเงินเฉพาะกิจหลายแห่งทยอยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ไปที่ระดับ 1.50% ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา
"กาญจนา โชคไพศาลศิลป์" ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อการปรับลดดอกเบี้ยของแบงก์ในรอบนี้ ดังนี้
- การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้รอบนี้ ส่งผ่านได้ “เร็วและเต็มที่” กว่ารอบก่อน ๆ ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่กลุ่ม D-SIBs (ยอดคงค้างสินเชื่อรวมกันประมาณ 85% ของระบบแบงก์ไทย) ประกาศปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้เพียงขาเดียวในช่วง 1-2 วัน ภายหลังการประชุม กนง.รอบล่าสุด และเป็นที่น่าสังเกตว่า ขนาดการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ MLR MRR และ MOR ลง 0.25% ในรอบนี้ เท่ากับขนาดการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งไม่พบบ่อยในการปรับลดดอกเบี้ยช่วงที่ผ่านมา
- ผลของการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงลงถึง 0.25% ทั้ง 3 ประเภท (MLR, MRR, MOR) จะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินให้กับลูกหนี้ได้ถึง 5,000-7,000 ล้านบาท เทียบกับผลครั้งก่อนที่ 4,400-4,900 ล้านบาท
ภายใต้สมมุติฐานที่เริ่มคำนวณผลของภาระดอกเบี้ยเงินกู้รอบนี้ที่ลดลงในช่วงระหว่างเดือน ส.ค.-ธ.ค. 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนสินเชื่อธุรกิจและรายย่อยที่จะเข้าสู่ช่วงการปรับดอกเบี้ยลงก่อนสิ้นปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 56-58% ของสินเชื่อระบบแบงก์ไทย
ขณะที่ ผลจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ในรอบนี้ จะทำให้ภาระดอกเบี้ยปรับลดลงรวมกันประมาณ 5,000-7,000 ล้านบาท โดยผลส่วนใหญ่จะอยู่ในสินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบุคคลที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน
- แม้การลดดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อสัญญาสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี ด้วยภาพเศรษฐกิจครึ่งหลังของปี 2568 ที่อาจขยายตัวได้ต่ำกว่าครึ่งปีแรก และยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายประเด็นที่อาจกดดันความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงตัวเลขคาดการณ์ภาพรวมสินเชื่อระบบแบงก์ไทยในปี 2568 ไว้ที่ -0.6% ตามเดิม ซึ่งนับเป็นการติดลบของสินเชื่อระบบแบงก์ไทยเป็นปีที่สองติดต่อกัน สอดคล้องกับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ยังอยู่ในช่วงขาลง ย้ำภาพ Debt Deleveraging ที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องมาจากช่วงหลังวิกฤติโควิด-19