ส่งออกไทยระส่ำ 'เมียนมา' ปิดด่านแม่สอด-เมียวดี สะเทือนการค้า 1.3 แสนล้าน
สถานการณ์การค้าชายแดนบริเวณด่านศุลกากรแม่สอด-เมียวดี กำลังเผชิญวิกฤตหนัก หลังทางการเมียนมามีคำสั่งด่วน "ปิดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2" ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจส่งออก-นำเข้า และเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างรุนแรง ขณะที่หอการค้าจังหวัดตากเร่งหารือเตรียมเจรจารัฐบาลเมียนมา
คำสั่งปิดด่านฯ เพื่อจัดระเบียบรายได้เมียนมา เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางการเมียนมาประจำจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ตรงข้ามบ้านวังตะเคียนใต้ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้สั่งปิดด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ทำให้ รถยนต์ทุกชนิดและสินค้าขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านเข้า-ออกได้
รายงานข่าว ระบุว่า คำสั่งปิดด่านฯ นี้มาจากหน่วยเหนือที่เมืองเนปิดอว์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ กดดันให้มีการส่งออกสินค้าเข้าสู่ระบบของรัฐบาลกลางเมียนมา เพื่อให้รัฐมีรายได้ เนื่องจากที่ผ่านมา รายได้ส่วนใหญ่จากการค้าชายแดนกลับไปตกอยู่กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ รวมถึงกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) ที่เป็นกองกำลังหลักในพื้นที่ รัฐบาลเมียนมาจึงต้องการจัดระเบียบใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐ
"การปิดด่านฯ ดังกล่าว ไม่มีการแจ้งให้ทางการไทยทราบล่วงหน้าแต่อย่างใด แม้แต่ด่านศุลกากรแม่สอดก็ไม่ได้รับแจ้ง" รายงานข่าวระบุ
อย่างไรก็ตาม สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ยังคงเปิดทำการปกติ โดยอนุญาตให้ชาวไทยและชาวเมียนมาสามารถเดินทางข้ามแดนไปมาได้ และยังสามารถขนส่งสินค้ารายย่อย ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้สอยในท้องถิ่นได้ตามปกติ
ผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจชายแดน
การปิดด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ถือเป็น ช่องทางที่สำคัญที่สุดในการส่งออกและนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ ทำให้รถยนต์บรรทุกที่เคยไปส่งสินค้าไทยในพื้นที่เมียวดีได้รับผลกระทบอย่างหนัก สถานการณ์นี้สร้างความเดือดร้อนอย่างมากต่อผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ผู้ส่งออก-นำเข้า และธุรกิจชิปปิ้ง
ล่าสุดในวันนี้ (18ส.ค.68) มีการเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดตาก รวมทั้งสมาชิกหอการค้า ผู้ประกอบการขนส่ง และชิปปิ้ง เพื่อหารือถึงผลกระทบจากมาตรการที่เข้มงวดของทั้งไทยและเมียนมา โดยเฉพาะการปิดด่านฯ ที่ประชุมได้เสนอให้กระทรวงพาณิชย์ของไทยเร่งเจรจากับรัฐบาลเมียนมาเพื่อหาทางออก
นอกจากนี้ มาตรการที่เข้มงวดของฝ่ายไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดตาก/ผู้อำนวยการศูนย์สั่งการชายแดนไทย จ.ตาก ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องแจ้งล่วงหน้า 2 วัน และมีการร่วมตรวจสอบสินค้าจากทหาร ฝ่ายปกครอง และศุลกากร ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป ก็สร้างความกังวลอย่างยิ่งว่าจะทำให้เกิดความล่าช้าและสินค้าเสียหาย ซึ่งผู้ประกอบการมองว่าอาจทำให้ ระบบการค้าชายแดนเป็นอัมพาต และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมถึงรายได้ของรัฐบาลไทยด้วย
"มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปยังเมียนมาผ่านช่องทางนี้ ลดลงอย่างฮวบฮาบจากเดิมเกือบ 50,000 ล้านบาท เหลือเพียงหมื่นกว่าล้านบาทต่อไตรมาสเท่านั้น" รายงานข่าวระบุ
สถิติการค้าชายแดนแม่สอด
ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบข้อมูลจาก ด่านศุลกากรแม่สอด พบข้อมูลที่น่าสนใจ ระบุว่า ด่านศุลกากรแม่สอดครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ 5 จังหวัด ได้แก่ ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย นครสวรรค์ และอุทัยธานี มีพรมแดนติดเมียนมายาวประมาณ 533 กิโลเมตร การค้าชายแดนที่นี่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจภูมิภาค
ภาพรวมมูลค่าการค้าชายแดนด่านศุลกากรแม่สอด (ปีงบประมาณ 2559 – 31 กรกฎาคม 2568)
มูลค่าการค้ารวมสูงสุด อยู่ในปีงบประมาณ 2565 (1 ตุลาคม 2564 - 30 กันยายน 2565) ที่ 258,594.33 ล้านบาท
สำหรับปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 - 31 กรกฎาคม 2568) มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 138,598.203 ล้านบาท
มูลค่าการส่งออก: 55,484.309 ล้านบาท
- มูลค่าการนำเข้า: 16,750.329 ล้านบาท
แนวโน้มที่น่าจับตาในปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 - 31 กรกฎาคม 2568) เมื่อเปรียบเทียบกับปีงบประมาณ 2567 (1 ตุลาคม 2566 - 30 กันยายน 2567):
- มูลค่าการค้ารวม ในปีงบประมาณ 2568 (ถึง ก.ค. 68) เพิ่มขึ้น 78.94% (จาก 77,453.054 ล้านบาท เป็น 138,598.203 ล้านบาท)
- มูลค่าการส่งออก ในปีงบประมาณ 2568 (ถึง ก.ค. 68) ลดลง 21.34% (จาก 70,541.237 ล้านบาท เหลือ 55,484.309 ล้านบาท)
- มูลค่าการนำเข้า ในปีงบประมาณ 2568 (ถึง ก.ค. 68) เพิ่มขึ้นสูงถึง 142.34% (จาก 6,911.817 ล้านบาท เป็น 16,750.329 ล้านบาท)
สินค้าส่งออกและนำเข้าสำคัญ (ปีงบประมาณ 2568 ถึง ก.ค. 2568)
สินค้าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก:
- โทรศัพท์มือถือพร้อมอุปกรณ์ (มูลค่า 2,500.67 ล้านบาท)
- รถจักรยานยนต์ (มูลค่า 2,005.26 ล้านบาท)
- น้ำมันปาล์ม (มูลค่า 1,631.30 ล้านบาท)
- น้ำมันดีเซล (มูลค่า 1,543.19 ล้านบาท)
- รถยนต์เก่าใช้แล้วนำเข้ามาปรับสภาพและส่งออก (มูลค่า 1,510.90 ล้านบาท)
มูลค่าส่งออกรวมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 4,016.24 ล้านบาท โดยมีโทรศัพท์มือถือพร้อมอุปกรณ์เป็นอันดับ 1 (239.60 ล้านบาท)
สินค้าส่งออกผ่านแดนขาออกสำคัญ 5 อันดับแรก:
- โทรศัพท์มือถือพร้อมอุปกรณ์
- แบตเตอรี่
- สินค้าอุปโภคบริโภค
- ยารักษาโรค, วิตามิน, อุปกรณ์ทำแผล
- ลำโพง เครื่องเสียง
สินค้าหลักที่นำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก:
- แร่พลวง (ใช้สิทธิคลังทัณฑ์บน) (มูลค่า 12,354.30 ล้านบาท)
- เศษอลูมิเนียมเก่าใช้แล้ว (มูลค่า 733.75 ล้านบาท)
- พริกแห้ง (Form D) (มูลค่า 428.29 ล้านบาท)
- พริกสด (Form D) (มูลค่า 347.94 ล้านบาท)
- มะขามเปียก (Form D) (มูลค่า 116.74 ล้านบาท)
มูลค่านำเข้ารวมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 3,140.57 ล้านบาท โดยมีแร่พลวง (ใช้สิทธิคลังทัณฑ์บน) เป็นอันดับ 1 (2,653.70 ล้านบาท)
สินค้าผ่านแดนขาเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก:
- หอมหัวใหญ่
- หมากแห้ง
- แร่พลวง (FZ)
- โทรศัพท์มือถือ
- แผงโซลาร์เซลล์
สัดส่วนการค้าผ่านช่องทางต่างๆ (ปีงบประมาณ 2568) ข้อมูลจากด่านศุลกากรแม่สอดเผยว่า มูลค่าการนำเข้าผ่านช่องทางที่ไม่ได้รับการอนุมัติ (นอกทางอนุมัติ) มีสัดส่วนสูงถึง 68.71% ในขณะที่ช่องทางที่ได้รับการอนุมัติ (ตามทางอนุมัติ) มีเพียง 31.29%
โดยมูลค่าการนำเข้าผ่านช่องทางนอกทางอนุมัติรวม 15,357.82 ล้านบาท และผ่านช่องทางตามทางอนุมัติรวม 1,392.51 ล้านบาท (ระหว่าง ต.ค. 67 – ก.ค. 68)
สำหรับมูลค่าการส่งออกผ่านช่องทางนอกทางอนุมัติรวม 34,277.41 ล้านบาท และผ่านช่องทางตามทางอนุมัติรวม 21,206.92 ล้านบาท (ระหว่าง ต.ค. 67 – ก.ค. 68)