ดร.ณัฏฐ์ ชี้ปมถอดถอน 136 สว. เป็นอำนาจเฉพาะศาลฎีกา ศาล รธน.ไม่มีอำนาจวินิจฉัย
ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม ชี้ชัด กรณีถอดถอน สว. 136 ราย เข้าข่าย ใช้สิทธิซ้ำซ้อน เพราะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกับคดีฮั้ว สว.ที่อยู่ในกระบวนการของ กกต. ระบุชัด ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัย ต้องให้ กกต.ชี้ขาดแล้วส่งศาลฎีกาตามขั้นตอนกฎหมายเท่านั้น
6 สิงหาคม 2568 - สืบเนื่องจากมีรายงานว่า สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 21 คน ได้ลงชื่อในหนังสือเพื่อยื่นถึงประธานวุฒิสภา ขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย โดยขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของการเป็น ส.ว.ทั้ง 136 คน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 111 (7) ประกอบมาตรา 113และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ ส.ว.ทั้ง 136 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย หรืออย่างน้อยให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการองค์กรอิสระ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด และผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงอื่นๆ ไว้ก่อน จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย นั้น
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะว่า บทบัญญัติ รธน.มาตรา 82 วรรคหนึ่ง ให้อำนาจ สส.หรือ สว.ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกสภาเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาแห่งที่ตนเป็นสมาชิกว่า “สมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลง”และให้ประธานสภาแห่งนั้นที่ได้รับคำร้อง ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของบุคคลนั้นสิ้นสุดลงหรือไม่ และบทบัญญัติรัฐธรรมนูญบับปราบโกงให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นกลไกรัฐธรรมนูญ
กลไกกระบวนการตรวจสอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติ จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และเปิดช่องให้กระทำได้ หากใช้รัฐธรรมนูญบิดเบือน จะทำให้ประชาชนสับสน โดยเฉพาะระบบรัฐสภาและอำนาจขององค์กรอิสระ และศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องเป็นตามรัฐธรรมนูญ
ปมร้อน กรณี สว.กลุ่มหนึ่ง ใช้ชื่อเรียกขาดว่า “สว.อิสระ” ใช้ช่อง มาตรา 82 วรรคหนึ่ง ยื่นคำร้องขอให้ประธานวุฒิสภานั้นถอดถอน 136 สว.และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ เหมือนกับคดีอื่นๆ แต่ข้อเท้จจริงในคดีนี้ แตกต่างจากคดีอื่น ตรงองค์กรอิสระใช้อำนาจและเป็นข้อเท็จจริงเดียวกันที่จะยื่นถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่ง โดยต้องพิจารณาก่อนว่าเนื้อหาวซ้ำซ้อนกับ กกต.องค์กรอิสระพิจารณาหรือไม่ หากซ้ำซ้อนไม่อาจยื่นได้
แม้จะแตกประเด็นในเนื้อหา เพื่อให้เข้าเงื่อนไขช่อง มาตรา 82 วรรคหนึ่ง ถือว่า เป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน ประเด็นแห่งคดีเดียวกัน เพราะปัญหาข้อเท็จจริงนำไปสู่ข้อกฎหมายที่เรียกว่า ปัญหาข้อเท็จจริง จะต้องไม่เคยมีองค์กรใดได้วินิจฉัยหรืออยู่ระหว่างวินิจฉัย จึงไม่อาจใช้ช่องทางซ้ำซ้อนได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิซ้ำ เพราะการกระทำเดียวกันจะต้องถูกลงโทษในครั้งเดียว จะลงโทษสองครั้งไม่ได้
ดร.ณัฐวุฒิ ระบุอีกว่าปมปัญหาที่ สว.อิสระเข้าชื่อ ถอดถอน 136 สว. ประเด็นที่ถูกกล่าวหา คือ สมาชิกวุฒิสภาฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคภูมิใจไทย เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 ส่งผลให้ สมาชิกภาพของ สว.ที่ถูกกล่าวหาสิ้นสุดลง ตาม มาตรา 111(7) นั้น
เจตนารมณ์แท้จริงของรัฐธรรมนูญ เป็นการคุ้มครอง ให้ สว.มีอิสระในการทำหน้าที่ ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพรรคการเมืองหรือบุคคลใดๆ
แต่ประเด็นที่ สว.อิสระ ผู้ร้อง เนื้อหาที่กล่าวหา เป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน กับประเด็น ฮั้ว สว.หรือ ทุจริตการเลือก สว. การกระทำเดียวกัน ถือว่า เป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน กับ ที่ กกต.อยู่ระหว่างพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
สว.อิสระ ผู้ร้อง จะนำข้อเท็จจริงนั้นมาแตกประเด็นถอดถอน สว. โดยใช้ในช่อง มาตรา 82 วรรคหนึ่ง ซ้ำอีกไม่ได้ ต้องรอกระบวนการของ กกต. จะข้ามขั้นตอนใช้ช่องทางนี้ไม่ได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิซ้ำกัน เพราะ ปมฮั้ว สว.หรือทุจริตการเลือก สว. เป็นอำนาจไต่สวนของ กกต. โดยหาก กกต.ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า กลุ่ม สว. และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวม 229 คน ได้ กระทำฝ่าฝืน พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ.2561 มาตรา 77 (1) กฎหมายกำหนด ให้ กกต.ยื่นคำร้องต่อ “ศาลฎีกา” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 226 ประกอบ พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ.2561 มาตรา 62 มิใช่อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
การใช้ช่องทาง มาตรา 82 วรรคหนึ่ง ซ้ำอีก เป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง ประธานวุฒิสภามีอำนาจ ไม่จำต้องส่งคำร้องใขอสมาชิกให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สว.136 คน สิ้นสมาชิกภาพความเป็น สว.หรือไม่ก็ได้ เพราะข้อเท็จจริงเดียวกัน ต้องรอให้ กกต.วินิจฉัยชี้ขาดว่า พฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหากระทำฝ่าฝืน พรป.การได้มาซึ่ง สว.หรือไม่ ตามมาตรา 77(1)หาก กกต.วินิจฉัยว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืน พรป.การได้มาซึ่ง สว. กกต.มีหน้าที่และอำนาจ ส่งให้ศาลฎีกาเพิกถอนจาก สว. เมื่อศาลฎีกาได้รับคำร้องขอให้เพิกถอนแล้ว สว.ที่ถูกกล่าวหาจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจนกว่าจะพิพากษา ส่งผลให้ สว.กลุ่มนี้ ไม่มีอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบกับบุคคลในองค์กรอิสระ.