“ราคาน้ำมันดิบ” พุ่ง 1% หลังสต็อกสหรัฐลดแรง ตลาดยังผวาภาษีทรัมป์ฉุดดีมานด์โลก
"ราคาน้ำมันดิบ" พุ่ง 1% หลังข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงเกินคาด หนุนความเชื่อมั่นเรื่องอุปสงค์ฟื้นตัว แม้ภาวะไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังฉุดความเชื่อมั่น นักลงทุนจับตาแรงกระเพื่อมจากภาษีสหรัฐต่ออินเดียและอาจลามถึงจีน
วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เวลา 10.46 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 1% ในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) ยุติการร่วงลงต่อเนื่องตลอด 5 วัน หลังมีสัญญาณว่าความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคจากมาตรการภาษีของสหรัฐยังคงจำกัดการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน
*สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent crude futures) เพิ่มขึ้น 62 เซนต์ หรือ 0.9% มาอยู่ที่ 67.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 03.42 GMT ขณะที่น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 68 เซนต์ หรือ 1.1% มาอยู่ที่ 65.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล*
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันพุธ ราคาน้ำมันทั้งสองตลาดหลักร่วงลงราว 1% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 สัปดาห์ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการเจรจากับรัสเซีย
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเปิดเผยว่าทรัมป์อาจพบกับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ในเร็ว ๆ นี้ แม้ในขณะเดียวกันสหรัฐยังคงเดินหน้าจัดเตรียมมาตรการคว่ำบาตรรอง (secondary sanctions) ต่อประเทศที่ยังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับรัสเซีย ซึ่งรวมถึงจีน
แม้จะมีความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจในเวทีโลก แต่ตลาดน้ำมันก็ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานเมื่อวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 3 ล้านบาร์เรล เหลือ 423.7 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลของ Reuters คาดไว้ที่เพียง 591,000 บาร์เรล
ปริมาณสต็อกที่ลดลงเกิดจากการส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น และการเดินเครื่องกลั่นน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขตกัลฟ์โคสต์และฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นภูมิภาคกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2566
นักวิเคราะห์จาก JPMorgan ระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 104.7 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงวันที่ 5 ส.ค. ซึ่งสะท้อนการเติบโตเฉลี่ย 300,000 บาร์เรลต่อวันจากปีก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่าประมาณการของ JPMorgan อยู่ราว 90,000 บาร์เรลต่อวัน
“แม้การเริ่มต้นเดือนจะดูอ่อนแอกว่าที่คาด แต่ตัวชี้วัดความถี่สูงแสดงให้เห็นว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า” นักวิเคราะห์ระบุ โดยคาดว่าเชื้อเพลิงเครื่องบิน (jet fuel) และวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันความต้องการบริโภค
อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจมหภาคยังคงกดดันตลาด โดยเฉพาะหลังจากที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียเพิ่มอีก 25% เมื่อวันพุธ โดยให้เหตุผลว่าอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งภาษีใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ภายใน 21 วันหลังวันที่ 7 สิงหาคม
พริยังกา สัจจเทวา นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Phillip Nova กล่าวว่า “แม้มาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐต่ออินเดียจะยังไม่มีผลทันที แต่ตลาดก็เริ่มสะท้อนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อห่วงโซ่การค้า อุปสงค์ในตลาดเกิดใหม่ และการทูตด้านพลังงานในวงกว้างแล้ว”
ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่าเขาอาจประกาศภาษีต่อจีนเพิ่มเติม ในลักษณะเดียวกับที่ใช้กับอินเดีย หากจีนยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง
“ภาษีนำเข้าอาจสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และท้ายที่สุดจะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง” สัจจเทวาเสริม พร้อมระบุว่า ตลาดอาจมองข้ามไปว่า แท้จริงแล้ว ผลกระทบจากภาษีจะตกอยู่กับเศรษฐกิจสหรัฐ และเงินเฟ้อในประเทศมากที่สุด
อ้างอิง : www.reuters.com