"ศาลฎีกา"สอบจนท.ราชทัณฑ์ 9 ปาก พยานคดี"ทักษิณ"ชั้น 14
(8ก.ค.68) ที่ ศาลฎีกา ภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ศาลฯได้ไต่สวน นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คนปัจจุบัน เกี่ยวข้อเท็จจริงในขั้นตอนของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ ต่อมาวันที่ 4 ก.ค.ได้ไต่สวนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 5 ปาก โดยในวันนี้จะเป็นการไต่สวนพยานที่เป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จำนวน 9 ปาก
โดยช่วงเช้าไต่สวนพยานทั้งหมด 5 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่พัศดีและเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องระหว่างวันที่ 22 ส.ค. 66 - 23 ส.ค. 66 มาเบิกความในการรับตัวนายทักษิณที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ การส่งตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยศาลได้กำชับสื่อมวลชนไม่เผยแพร่รายละเอียดการเบิกความของพยาน
ต่อเวลา 13.30 น. ศาลไต่สวนพยานกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้อีก 4 ปาก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมบริเวณหน้าห้องรักษาตัว ของนายทักษิณ ชินวัตร ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ศาลมีการซักถามพยานเกือบทุกรายถึงลักษณะห้องพักที่จำเลยพักรักษาตัวอยู่ ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ การเข้าตรวจเยี่ยมและรักษาของแพทย์และพยาบาลในแต่ละวัน และเน้นย้ำถึงจำนวนผู้เข้าเยี่ยมซึ่งมี 10 รายชื่อเท่านั้นที่ระบุว่าเป็นครอบครัวของจำเลย
ต่อมาศาลได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณา ระบุว่า ให้เลื่อนการไต่สวนไปในวันที่ 15 ก.ค.68 เวลา 09.00 น. ตามที่นัดไว้เดิมเนื่องจากศาลเคยมีคำสั่งให้คู่ความและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีงดเว้นการเผยแพร่โฆษณาคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน แต่ปรากฏว่ายังมีผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีและผู้สื่อข่าวบางรายนำคำเบิกความพยานไปไปโฆษณาเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ ศาลกำชับคู่ความและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีให้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างเคร่งครัด
จากนั้น นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการไต่สวนในวันนี้เสร็จสิ้นว่า ตนขอกราบขอบคุณทางศาล ที่ได้กำชับในสิ่งที่ตนได้ร้องขอไปสองครั้งแล้ว ซึ่งตนได้ร้องขอไม่ให้มีการนำข้อเท็จจริงในการเบิกความหรือสาระสำคัญต่าง ๆ ออกไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ แม้บางคนจะไม่ได้เผยแพร่ความเบิกความ แต่นำไปสรุปและวิเคราะห์ตั้งประเด็นการซักถามของศาล ถึงปฏิกิริยาของพยาน ซึ่งไม่ใช่หน้าที่
นายวิญญัติ กล่าวต่อไปว่า ทางศาลก็กรุณากำชับให้มีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ความจริงตนขอให้ศาลออกข้อกำหนดให้พิจารณาคดีลับ แต่ศาลเห็นว่ายังไม่มีเหตุให้พิจารณาลับ จึงยังคงให้การพิจารณาเป็นไปอย่างเปิดเผย ซึ่งภายหลังจากศาลออกคำสั่งแบบนี้ตนก็ต้องยอมรับ เชื่อว่าหลังจากนี้ถ้าการพิจารณาเสร็จสิ้นและมีคำสั่งของศาลออกมาชัดเจนว่าเป็นอย่างไร ข้อเท็จจริงในคดีตนก็พร้อมที่จะพูดในภายหลัง แต่ระหว่างนี้ตนยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ เพราะเป็นข้อมูลหลายส่วน
นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า โดยนัดไต่สวนครั้งต่อไป ศาลนัดอีกครั้งวันที่ 15 ก.ค. และมีการกำหนดพยานเอาไว้ 5 - 6 ปาก โดยจะเป็นกลุ่มผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ และผู้บริหารโรงพยาบาลราชทัณฑ์หลังจากนั้นจะมีการไต่สวนอีกในวันที่ 18 ก.ค. และ 25 ก.ค. ในส่วนของจำเลยหากศาลยังไม่มีหมายเรียกพยานอื่นเพิ่มเติม ตนก็จะขอใช้สิทธิ์ระบุพยานจำเลยที่เราประสงค์ไว้เข้ามาเบิกความในวันที่ 30 ก.ค.
นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะมีดุลพินิจอย่างไร เราก็จะดูอีกว่าพยานจำเลยซ้ำกับพยานที่ศาลมีหมายเรียกมาหรือไม่ และถ้าคนไหนไม่ซ้ำและเราเห็นว่ามีข้อเท็จจริงที่อยากให้ศาลทราบ ก็จะเตรียมมา ซึ่งตนยังบอกไม่ได้ว่ามีทั้งหมดกี่ปาก และคาดว่าจะแล้วเสร็จในระยะเวลา 1 นัด
"ส่วนเรื่องการแถลงปิดคดี ยังไม่ทราบว่าจะมีขึ้นหรือไม่ เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการพิจารณาคดีทั่วไป เป็นการไต่สวนที่ศาลเห็นว่ามีความปรากฏ การจะให้แถลงปิดคดีหรือไม่อยู่ที่ดุลพินิจของศาล แต่ถ้าอนุญาต ก็จะแถลงปิดคดี" นายวิญญัติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามประเด็นที่สมเด็จฮุนเซน ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการไม่ได้ป่วยจริงของนายทักษิณ นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องระหว่างประเทศ คดีนี้ศาลอยากทราบอะไรก็จะออกหมายเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว ส่วนใครจะพูดอะไรก็ขอให้ใช้ดุลพินิจว่าจะรับฟังหรือไม่
"ไม่มีความกังวลในคดีนี้ เพราะนายทักษิณมีอาการป่วย และได้รับการปฏิบัติจากหน่วยงานราชการ กระบวนการได้รับสิทธิประโยชน์ในช่วงที่เป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดก็ได้รับการปฏิบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด" นายวิญญัติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทนายจำเลยร้องขอให้พิจารณาเป็นการลับเป็นคำสั่งของนายทักษิณ หรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า นายทักษิณไม่ได้กังวลในส่วนนี้ เป็นหน้าที่ของตนที่ทำงานอยู่หน้างานอยู่แล้ว ซึ่งตนจะเป็นคนประเมินและดูบรรยากาศ และจะดูว่าฟีดแบ็กหรือมีผลอะไรตามมา เพราะตนเป็นคนหนึ่งที่ต้องช่วยศาลตรวจสอบด้วย จึงถือเป็นดุลยพินิจที่ศาลออกข้อกำหนดออกมา
"ศาลก็กำชับเรื่องที่มีบุคคลไปโพสต์เฟซบุ๊กและออกรายการต่าง ๆ แล้วให้ข้อมูลขาด ๆ เกิน ๆ ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ก็จะใช้สิทธิ์ปกตนเอง ซึ่งตอนนี้ตนยังไม่ร่างคำฟ้องเพื่อฟ้องใครเพราะยังอยู่ในการไต่สวนอยู่" นายวิญญัติ กล่าว
ข่าวเวิร์คพอยท์23