"คุกตวลเสลง" มรดกจากอดีตอันเลวร้ายของ "เขมรแดง" แค่คนใส่แว่นตาก็ถูกจับไปทรมาน
"คุกตวลเสลง" มรดกจากอดีตอันเลวร้ายของ "เขมรแดง" แค่คนใส่แว่นตาก็ถูกจับไปทรมาน
ประวัติศาสตร์ของกัมพูชาเต็มไปด้วยความรุ่งเรืองและโศกนาฏกรรม แต่ไม่มีช่วงเวลาใดที่มืดมนและโหดร้ายเท่ากับยุคของ เขมรแดง (Khmer Rouge) ภายใต้การนำของ พอล พต (Pol Pot) ระหว่างปี ค.ศ. 1975 ถึง 1979 ช่วงเวลาเพียง 3 ปี 8 เดือน 20 วันนี้ ได้เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นทุ่งสังหารขนาดใหญ่ ทำลายล้างโครงสร้างสังคม วัฒนธรรม และชีวิตผู้คนไปเกือบ 2 ล้านคน บทความนี้จะเจาะลึกถึงที่มาที่ไป ความโหดร้าย และมรดกบาดแผลที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
ที่มาและจุดเริ่มต้น: จากขบวนการชาตินิยมสู่ลัทธิสุดโต่ง
เขมรแดงมีจุดเริ่มจากกลุ่มนักศึกษากัมพูชาที่ไปศึกษาต่อในปารีสช่วงปี 1950 โดยเฉพาะ ซาลอธ ซาร์ (Saloth Sar) หรือ พอล พต ซึ่งได้รับแนวคิดคอมมิวนิสต์กลับมาก่อตั้ง พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา และทำสงครามกองโจร จุดเปลี่ยนสำคัญคือปี 1970 เมื่อนายพลลอน นอล โค่นล้มสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทำให้สีหนุต้องลี้ภัยและจับมือกับเขมรแดงจนสามารถยึดกรุงพนมเปญได้ในวันที่ 17 เมษายน 1975
"ปีศูนย์" และนโยบาย "นารวม"
ทันทีที่ขึ้นสู่อำนาจ เขมรแดงได้ประกาศ "ปีศูนย์" (Year Zero) เพื่อล้างสังคมเก่าและสร้างสังคมกสิกรรมบริสุทธิ์ โดยใช้นโยบายสุดโต่ง เช่น:
- อพยพผู้คนจากเมือง: บังคับให้ประชาชนออกจากเมืองด้วยอาวุธ
- ล้มล้างระบบเศรษฐกิจ-สังคม: ยกเลิกเงินตรา การศึกษา ศาสนา และสถาบันเก่า
- ตั้งนารวม: บังคับประชาชนทำงานหนักในคอมมูนเกษตรกรรมภายใต้การควบคุมของ "อังการ์"
คุกตวลเสลง (S-21): ศูนย์กลางแห่งความตายและการทรมาน
หนึ่งในสัญลักษณ์ของความโหดร้ายคือ คุกตวลเสลง (Tuol Sleng หรือ S-21) ที่ดัดแปลงจากโรงเรียนมัธยมในกรุงพนมเปญ นักโทษส่วนใหญ่คือปัญญาชน ข้าราชการ แพทย์ ครู วิศวกร และแม้แต่สมาชิกเขมรแดงเอง ถูกทรมานด้วยวิธีสุดโหดเพื่อให้รับสารภาพในข้อหาที่ถูกยัดเยียด เช่น การช็อตไฟฟ้า กดน้ำ ถอนเล็บ ฯลฯ
ข้อมูลนักโทษทุกคนถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด รวมถึงภาพถ่ายก่อนและหลังการทรมาน มีนักโทษราว 17,000 - 20,000 คน แต่รอดชีวิตเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ถูกนำไปประหารที่ "ทุ่งสังหารเจืองแอ็ก" (Choeung Ek)
การกวาดล้างปัญญาชน: "แค่ใส่แว่นตาก็อาจถูกลงโทษ"
เขมรแดงมองว่าปัญญาชนเป็นภัยต่ออุดมการณ์ใหม่ จึงมุ่งกำจัดกลุ่มที่มีการศึกษา ผู้ที่พูดภาษาต่างประเทศ ผู้เคยไปต่างประเทศ และผู้ที่มีลักษณะสื่อถึงความรู้ เช่น แว่นตา ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ต้องห้าม แม้เพียงใส่แว่นก็อาจถูกจับสอบสวนและลงโทษ
การสิ้นสุดยุคเขมรแดง
แม้ทั่วโลกจะรับรู้ข่าวล่าช้าจากการปิดประเทศ แต่ความขัดแย้งชายแดนกับเวียดนามในปี 1978 ทำให้กองทัพเวียดนามบุกยึดพนมเปญในวันที่ 7 มกราคม 1979 สิ้นสุดยุคเขมรแดงอย่างเป็นทางการ แต่กลุ่มนี้ยังคงทำสงครามกองโจรตามแนวชายแดนไทยอีกหลายปี ก่อนที่ พอล พต จะเสียชีวิตในปี 1998
ผลกระทบและบาดแผลที่ยังไม่หาย
- ประชากรเสียชีวิต: ราว 1.7 - 2 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของประเทศ
- บาดแผลทางใจ: PTSD และความเครียดฝังลึกในผู้รอดชีวิต
- โครงสร้างพื้นฐานพังทลาย: ระบบการศึกษา-เศรษฐกิจถูกทำลายจนหมด
- กระบวนการยุติธรรม: จัดตั้ง ศาลคดีเขมรแดง (ECCC) ร่วมกับ UN เพื่อไต่สวนผู้นำที่ยังมีชีวิต
- การเรียนรู้จากอดีต: คุกตวลเสลงและทุ่งสังหารเจืองแอ็กกลายเป็นพิพิธภัณฑ์เตือนใจโลก
เขมรแดงคืออุทาหรณ์ของการนำอุดมการณ์สุดโต่งมาใช้โดยปราศจากมนุษยธรรม โศกนาฏกรรมนี้เตือนเราว่า สันติภาพ สิทธิมนุษยชน และความเคารพในความหลากหลาย คือสิ่งที่ต้องปกป้องไว้ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย