สรุป! อัตราภาษี Reciprocal Tariff ประเทศปิดดีลสำเร็จ ได้เท่าไรกันบ้าง? ยอมแลกอะไรบ้าง? ก่อนเส้นตายไทย 1 สิงหาคมนี้
สรุป! อัตราภาษี Reciprocal Tariff ประเทศปิดดีลกับสหรัฐฯ สำเร็จ ก่อนถึงเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้ พร้อมเปิดไทม์ไลน์ความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ตั้งแต่ต้นปี
วันที่ 30 กรกฎาคม (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ผ่าน Truth Social ว่า จะไม่เลื่อนเส้นตายการเจรจาภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ออกไปอย่างแน่นอน สร้างความกังวลให้กับหลายประเทศรวมถึงไทย ซึ่งยังไม่รู้ผลสรุปของอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ กำลังกำหนดให้
โดยจนถึงวันนี้มีราว 10 ประเทศที่สหรัฐฯ ประกาศว่าสามารถบรรลุการเจรจาเบื้องต้นได้สำเร็จ ได้แก่ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นต้น
ส่วนประเทศไทย วันนี้ (31 กรกฎาคม) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คาดจะได้รับการแจ้งผลการเจรจาภาษีจากสหรัฐฯ ภายใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า พร้อมยืนยันว่า ทีมเจรจาของประเทศไทยได้ทำงานอย่างเต็มที่ และรอบคอบในทุกมิติ ทั้งด้านข้อมูล สถิติการค้า ข้อกฎหมายระหว่างประเทศ และผลกระทบต่อภาคการผลิต การส่งออก การจ้างงาน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในภาพรวม เรามุ่งมั่นเสนอเงื่อนไขและข้อแลกเปลี่ยนที่ไทยสามารถยอมรับได้ โดยพยายามรักษาผลประโยชน์ของประเทศไว้ให้มากที่สุด
โดยแม้สหราชอาณาจักรจะเป็นประเทศแรกที่สหรัฐฯ เจรจากันได้สำเร็จ แต่ทรัมป์ก็ยัง ‘คง’ อัตราภาษี Baseline ที่ 10% ไว้ แต่ทั้ง 2 ประเทศตกลงที่จะขยายการเข้าถึงตลาดสินค้าเกษตรของกันและกัน และตกลงลดภาษีนำเข้ารถยนต์อังกฤษที่สูงลิ่วของสหรัฐฯ ลง
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางประเทศที่ทรัมป์ประกาศว่า การเจรจาไม่ลงตัว ได้แก่ อินเดีย ทำให้ทรัมป์กำหนดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียในอัตรา 25% พร้อมบทลงโทษเพิ่มเติม เนื่องจากอ้างว่าอินเดียเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง มีมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีซับซ้อน และยังซื้ออาวุธไปจนถึงพลังงานจากรัสเซียและจีนด้วย
สำหรับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็ยังต้องจับตา เนื่องจากระยะเวลาลดภาษีให้กันและกันชั่วคราว 90 วัน กำลังจะถึงเส้นตายในวันที่ 12 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม สหรัฐฯ และจีนตกลงที่จะลดภาษีตอบโต้กันชั่วคราว 90 วัน โดยสหรัฐฯ จะลดภาษีพิเศษที่กำหนดกับสินค้าจีนลงเหลือ 30% จาก 145% ขณะที่ภาษีของจีนสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ จะลดลงเหลือ 10% จาก 125%
เปิดไทม์ไลน์ US Tariff ตั้งแต่ต้นปี 2025
1 กุมภาพันธ์:ทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และ 10% สำหรับสินค้าจากจีน พร้อมเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้ควบคุมเฟนทานิลและผู้อพยพผิดกฎหมายที่เข้าสู่สหรัฐฯ
3 กุมภาพันธ์:ทรัมป์ตกลงที่จะระงับการขู่ขึ้นภาษีกับเม็กซิโกและแคนาดาเป็นเวลา 30 วัน แลกกับการผ่อนปรนการบังคับใช้กฎหมายชายแดนและอาชญากรรม แต่สหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าวกับจีนได้
10 กุมภาพันธ์:ทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 25% “โดยไม่มีข้อยกเว้นหรือการผ่อนผัน”
3 มีนาคม:ทรัมป์กล่าวว่า อัตราภาษี 25% ที่เก็บสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม และเพิ่มภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลสำหรับสินค้าจีนทั้งหมดเป็น 20%
6 มีนาคม:ทรัมป์ยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกภายใต้ข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือเป็นเวลา 1 เดือน
26 มีนาคม:ทรัมป์เปิดเผยภาษี 25% สำหรับรถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กที่นำเข้า
2 เมษายน:ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีทั่วโลก ในอัตราพื้นฐานที่ 10% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้ามาในสหรัฐฯ และประกาศภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในอัตรา 10-50% สำหรับคู่ค้ากว่า 90 ประเทศ
9 เมษายน:ทรัมป์ระงับ Reciprocal Tariff เป็นเวลา 90 วัน แต่อัตราภาษี 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าเกือบทั้งหมดของสหรัฐฯ ยังคงมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ ทรัมป์กล่าวว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าของจีนเป็น 125% จากระดับ 104% ซึ่งจะทำให้ภาษีพิเศษสำหรับสินค้าจีนรวมเป็น 145% รวมถึงภาษีที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้
9 พฤษภาคม:ทรัมป์และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้า
12 พฤษภาคม:สหรัฐฯ และจีนตกลงที่จะลดภาษีตอบโต้กันชั่วคราว 90 วัน โดยสหรัฐฯ จะลดภาษีพิเศษที่กำหนดกับสินค้าจีนลงเหลือ 30% จาก 145% ขณะที่ภาษีของจีนสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ จะลดลงเหลือ 10% จาก 125%
13 พฤษภาคม:สหรัฐฯ ลดภาษี de minimis ให้จีน โดยภาษีนำเข้าสินค้าที่ส่งทางไปรษณีย์โดยตรงถึงผู้บริโภคจะลดลงเหลือ 54% จาก 120% สำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ
23 พฤษภาคม:ทรัมป์กล่าวว่า จ่อเก็บภาษี 50% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรปที่จะเริ่มในวันที่ 1 มิถุนายน แต่เปลี่ยนใจใน 2 วันต่อมา พร้อมเตือน Apple ว่าจะเผชิญกับภาษี 25% หากโทรศัพท์ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ผลิตนอกประเทศ
29 พฤษภาคม:ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (U.S. Court of International Trade) ได้ตัดสินว่า ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) หลังทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน ทั้งนี้ ระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์ในศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางอาจใช้เวลาหลายเดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดีและตารางเวลาของศาล หากคดีถูกนำขึ้นสู่ศาลฎีกา กระบวนการอาจยืดเยื้อออกไปอีกหลายเดือน
3 มิถุนายน:ทรัมป์ลงนามขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 50% จาก 25%
3 กรกฎาคม:ทรัมป์บรรลุดีลเบื้องต้นกับเวียดนาม โดยสหรัฐฯ จะเก็บภาษี 20% สำหรับสินค้าส่งออกของเวียดนามหลายรายการ ขณะที่สินค้าที่ส่งผ่าน (Transshipment) จะถูกเรียกเก็บภาษี 40%
6 กรกฎาคม:ทรัมป์กล่าวบน Truth Social ว่าประเทศที่มีนโยบายต่อต้านอเมริกา ภายใต้การนำของ BRICS จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10%
7 กรกฎาคม:ทรัมป์กล่าวบน Truth Social ว่า Reciprocal Tariffs ที่ประกาศในเดือนก่อนๆ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม ในจดหมายที่ส่งถึง 14 ประเทศ
10 กรกฎาคม:ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษี 35% สำหรับสินค้านำเข้าจากแคนาดาในเดือนสิงหาคม และวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษีทั่วไป 15% หรือ 20% สำหรับคู่ค้าส่วนใหญ่
12 กรกฎาคม:ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี 30% สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและสหภาพยุโรปตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม
15 กรกฎาคม:ทรัมป์บรรลุดีลเบื้องต้นกับอินโดนีเซียจะเรียกเก็บภาษี 19% สำหรับสินค้าจากอินโดนีเซีย ภายใต้ข้อตกลงใหม่
22 กรกฎาคม:ทรัมป์บรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงการลดภาษีนำเข้ารถยนต์เหลือ 15%
27 กรกฎาคม:สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป โดยกำหนดภาษีนำเข้า 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของสหภาพยุโรป
28 กรกฎาคม:ทรัมป์กล่าวว่าคู่ค้าส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เจรจา จะเผชิญกับภาษี 15% ถึง 20% ในไม่ช้า
31กรกฎาคม:ทรัมป์ประกาศ จะเก็บภาษีอินเดียในอัตรา 25% พร้อมบทลงโทษ เหตุอินเดียเกินดุลสหรัฐฯ สูง มี NBTs เข้มงวด และยังซื้ออาวุธ-พลังงานจากรัสเซีย-จีน
นอกจากนี้ วันเดียวกัน ทรัมป์ยังประกาศปิดดีลกับเกาหลีใต้ เคาะภาษีให้เหลือ 15% โดยเกาหลีใต้จะลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่ม 3.5 แสนล้านดอลลาร์ ซื้อ LNG-พลังงานอื่นๆ อีก 1 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมเปิดตลาดรถ สินค้าเกษตร และอื่นๆ ให้สหรัฐฯ อย่างเต็มที่
กรณีภาษี 36% ไทยจ่อสูญส่งออก 1.64 แสนล้านบาท (0.88% ของ GDP)
ศูนย์วิจัยกรุงศรีมองว่า แนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงแรง โดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐฯ หลังจากที่เติบโตสูงถึง 29.7% ในช่วงครึ่งปีแรก จากการเร่งส่งออกตามการสะสมสต๊อกสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 28.6 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 15.5% YoY
วิจัยกรุงศรียังประเมินว่า หากการเจรจาขอลดภาษีสินค้าที่ประเทศไทยส่งออกไปสหรัฐฯไม่สำเร็จ โดยไทยยังถูกเก็บภาษีในอัตรา 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งในอาเซียนและประเทศแกนหลัก ซึ่งอยู่ที่อัตราประมาณ 15-20% อาจส่งผลให้การส่งออกของไทยในระยะยาวหายไป -1.55% หรือเป็นมูลค่าราว 1.64 แสนล้านบาท (คิดเป็น 0.88% ของ GDP) สูงกว่าผลกระทบจากกรณีปัจจุบันที่โดนเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ที่ -0.65%
ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย
อ้างอิง: