ปิดเกมขบวนการ ‘ฉ้อโกงภาษี’ ตั้ง 20 บริษัทลวง รัฐเสียหายนับพันล้าน
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 30 มิ.ย. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ) พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ., ว่าที่ พ.ต.อ.นฤพนธ์ กรุณา ผกก.2 บก.ปอศ. และ พ.ต.ท.วันเผด็จ จันยะรมณ์ รอง ผกก.2 บก.ปอศ. ร่วมกับ นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าว “ปฏิบัติการปิดเกมส์กลโกงภาษี - Anti Tax Fraud Operation” ทลายกลุ่มเครือข่ายฉ้อโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม รัฐเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท สามารถจับกุมกลุ่มเครือข่ายที่ได้ร่วมกระทำความผิดดังกล่าวตามหมายจับของศาลอาญา โดยมีนายสำราญ (สงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี กรรมการบริษัทดังกล่าว พร้อมพวกจำนวน 9 ราย ตรวจยึดของกลาง เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ จำนวน 30 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ จำนวน 20 เครื่อง และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน 100,000 ฉบับ ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก 8 หมาย และพื้นที่ จ.เชียงใหม่ 2 หมาย และตรวจค้นพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามหมายค้นอีก 14 หมาย ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก 11 จุด, พื้นที่ จ.เชียงใหม่ 2 จุดและพื้นที่ กทม. 1 จุด โดยตรวจค้นทั้ง 14 จุด พร้อมเพรียงกัน
พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ เปิดเผยว่า พฤติการณ์ของคนร้ายเป็นผู้ประกอบการซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายฉ้อโกงภาษีรัฐ โดยกลุ่มผู้ต้องหาประกอบด้วย คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง พนักงานลูกจ้าง รวมถึงเพื่อนและคนรู้จัก ทำการจัดตั้งร้านค้าและบริษัทแล้วจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) เป็นจำนวนกว่า 20 แห่ง แล้วแสร้งว่ามีการซื้อขายสินค้าระหว่างกันเป็นทอด ๆ แต่ไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง โดยมีเจตนาสร้างภาพการซื้อขายเท็จเพื่อทำให้ราคาสินค้าสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ วนกันไปมา ซึ่งจะทำให้ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7%” เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าไปด้วย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนจนพบ บริษัทเอส แอนด์ เอ็ม บราเธอร์ฮู้ดฯ โดยมี นายสำราญ เป็นกรรมการบริษัท จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการส่งออก โดยสินค้าที่กลุ่มผู้ต้องหาได้ทำการส่งออก เป็นสินค้าประเภทกลุ่มเครื่องอุปโภค บริโภค จะไม่มีอัตราอากรขาออก ซึ่งเท่ากับว่า ผู้ประกอบการส่งออกจะไม่มีการเสียภาษีศุลกากรขาออก และจะไม่ถูกจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยทางกรมสรรพากรจะให้สิทธิผู้ประกอบการเหล่านี้ สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% (ตามยอดภาษี) ในแต่ละเดือนได้ จึงเป็นช่องทางที่กลุ่มเครือข่ายเหล่านี้สร้างการซื้อขายปลอมเพื่อทำให้ราคาสูงเกินจริง เพื่อมาใช้ขอคืนภาษีหลังการสร้างภาพ โดยทำการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการในกลุ่มเครือข่ายทอดสุดท้าย จากนั้นจะส่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) โดยมีลูกค้าฝั่งเมียนมา เป็นคนของเครือข่ายรวมอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2564-2565 พบว่า กลุ่มเครือข่ายของผู้ต้องหา ได้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากรเป็นจำนวนเงินกว่า 150 ล้านบาท และพบความเสียหายจากการกระทำผิดของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งเครือข่ายเป็นจำนวนเงินกว่า 1,000 ล้านบาท เจ้าพนักงานตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. จะได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ต่อศาลอาญาเพื่อขอออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 ราย และยื่นหมายค้นเพื่อตรวจค้นสถานประกอบการกิจการของกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอีก 14 จุด
จากการสอบปากคำผู้ต้องหาบางรายให้การรับสารภาพ ส่วนบางรายให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิจะออกเอกสารดังกล่าวตามมาตรา 86/13”, “ร่วมกันเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มหรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใด ๆ โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน” และ “เจตนานำใบกำกับภาษีปลอมหรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษี” อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4 (3) (6) (7) แห่งประมวลรัษฎากร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี ต่อ 1 กรรมการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งพบว่าการกระทำความผิดของผู้ต้องหาแต่ละรายมีจำนวนหลายกรรม จากนั้นนำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป.