แสงแห่งอิสรภาพ : พลังงานเพื่อชุมชน
เสรี พงศ์พิศ
Fb Seri Phongphit
ประเด็น “พลังงาน” มีพลังที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้ง ไปจนถึงสงครามของโลกยุคใหม่เเพราะผูกพันกับทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงทั้งในและระหว่างประเทศ
การทำความเข้าใจภาพใหญ่จะช่วยให้เห็นตำแหน่งและศักยภาพของบ้านเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญจะต้องพัฒนาทางเลือกพลังงานเพื่อชุมชน ไม่ใช่ต้อง “พึ่งพา” พลังงานโดยรัฐและทุนเอกชนที่ “จับมือกันผูกขาด” ด้วยโครงสร้างที่ “แตะไม่ได้” และนักการเมืองที่ถูก “ปิดปาก”
พลังงานเป็นอาวุธทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามพลังงาน คือ สงครามเศรษฐกิจ อย่างกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาก๊าซและน้ำมันพุ่งสูงทั่วโลก และเกิดวิกฤตพลังงานในยุโรป ขณะที่จีน สหรัฐฯ อินเดีย แข่งขันกันเพื่อเข้าถึงแหล่งก๊าซในแอฟริกา เอเชียกลาง เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก และทะเลจีนใต้
โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานแห่งอนาคต เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ทุกประเทศต้องการลดการพึ่งพานำเข้า เพื่อเปลี่ยนผ่านจากถ่านหินสู่พลังงานสะอาด
อ่าวไทยมีแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจำนวนมาก มากเท่าไรจริง ๆ ก็ไม่มีการเปิดเผย ที่เปิดจึงไม่ค่อยเชื่อกัน ไทยยังคงพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยกว่า 60% ของการผลิตไฟฟ้าในประเทศ แม้ปริมาณสำรองจะลดลง แต่ยังมีศักยภาพสำรวจใหม่ในแปลงสำรวจเพิ่มเติม และอาจใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อสกัดจากแหล่งเดิมได้มากขึ้น
ชุมชนทุกภาคมีศักยภาพของในการพัฒนาพลังงานทางเลือก มีทรัพยากรท้องถิ่น เช่น แสงแดด ลม ซังข้าว ฟางข้าว ขยะเกษตร มูลสัตว์ โดยเฉพาะน้ำตกขนาดเล็ก ฯลฯ มีระบบความร่วมมือและทุนทางสังคมสูง เช่น วิสาหกิจชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ สหกรณ์ วัด ฯลฯ
มีแรงบันดาลใจจากแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนหลายแห่งเริ่มหันมาหาพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง แต่ก็มีข้อจำกัด ขาดเทคโนโลยีและความรู้เชิงเทคนิค ขาดการจัดการร่วมระหว่างชุมชน รัฐและเอกชน ติดระบบสัมปทานหรือข้อจำกัดของกฎหมายพลังงาน เช่น การขายไฟเข้าระบบ
คงหวังพึ่ง “พรรคการเมือง” และ “รัฐบาล” ไม่ได้ ชุมชนต้องมียุทธศาสตร์พัฒนาพลังงานโดยชุมชน เพื่อชุมชนและของชุมชน โดยตั้งเป้าหมายชัดว่า ต้องการพัฒนา “พลังงานเพื่ออิสรภาพของชุมชน” ลดการพึ่งพาไฟฟ้าและก๊าซจากภายนอก
โดยใช้พลังงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต (เช่น น้ำมัน เครื่องอบแห้ง แสงสว่าง) สร้างรายได้ใหม่ เช่น ขายไฟ ขายคาร์บอนเครดิต เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชุมชน เช่น แสงอาทิตย์ ชีวมวล ลม พลังน้ำ ขยะอินทรีย์ตามบริบทและศักยภาพของแต่ละพื้นที่
ที่สำคัญ พลังของชุมชนไม่ได้อยู่ที่ทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่อยู่ที่ “ทุนทางสังคม” ก่อตั้ง “ศูนย์เศรษฐกิจชุมชน” วิสาหกิจพลังงานชุมชน หรือ "สหกรณ์พลังงาน" กรรมการจากชุมชน มีหุ้นส่วนร่วมทุน เช่น เทศบาล อบต. กลุ่มเกษตร แบ่งผลประโยชน์เป็น 3 ส่วน เงินทุนหมุนเวียน ลดค่าใช้จ่ายชุมชน พัฒนาการศึกษา/สุขภาพ/ทุนการศึกษา
ทุนทางสังคมเป็นพลังทวีคูณอยู่ที่ “เครือข่าย” ซึ่งเป็นจุดอ่อนของชุมชนบ้านเรา เครือข่ายถูก “ทำลาย” หรือทำให้อ่อนแอลงโดยอำนาจรัฐ อำนาจทุนที่ครอบงำ โดดเดี่ยวผู้คน แบ่งแยกชุมชน
ชุมชนจึงต้องสร้างเครือข่าย เริ่มจากเครือข่ายการเรียนรู้ เพราะต้องขับเคลื่อนด้วย “ความรู้และปัญญา” เป็นพื้นฐาน รวมกลุ่มเป็นเครือข่ายระดับอำเภอ จังหวัด หรือภูมิภาค เช่น “กลุ่มพลังงานชุมชนภาคอีสาน” จัดตั้ง ศูนย์เรียนรู้พลังงานสะอาดระดับชุมชน (อาจร่วมกับวัด โรงเรียน หรือศูนย์เรียนรู้เกษตร)
ทำงานบูรณาการกับ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “เศรษฐกิจสีเขียว” ใช้พลังงานหมุนเวียนในอาชีพ โดยเฉพาะในการเกษตร โซลาร์อบผลผลิตเกษตร ปั๊มน้ำจากพลังงานแสงอาทิตย์ เตาแก๊สชีวมวลสำหรับแปรรูปอาหาร ต่อยอดสู่ การขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต
พรรคการเมืองและรัฐบาลไม่ได้ตระหนักว่า หากทำให้พลังงานสะอาดเป็นของชุมชน ใช้งานได้จริงด้วยนวัตกรรมของคนในท้องถิ่น เราจะไม่เพียงแค่แก้ปัญหาพลังงาน แต่เราจะเปลี่ยนโครงสร้างความเหลื่อมล้ำทั้งประเทศ ซึ่งดูไม่ใช่สิ่งที่ “นักการเมือง” ส่วนใหญ่ต้องการทำ มีเพียงนโยบายสวยหรูให้ฝันเล่นเท่านั้น
สถาบันอุดมศึกษามีศักยภาพสูงมากที่จะสร้างนวัตกรรม ต่อยอดภูมิปัญญา เพื่อใช้ทรัพยากรและพัฒนาศักยภาพชุมชนเพื่อช่วยให้ชุมชนมี “อิสรภาพทางพลังงาน”
ผมมีเพื่อนชาวเยอรมัน เป็นนักฟิสิกส์ ชื่อ Juergen Kleinwaechter ที่สร้างนวัตกรรมเพื่อช่วยคนจนในแอฟริกาให้มีไฟฟ้าใช้ให้แสงสว่างและหุงต้ม ทำอาหาร
เขาใช้วัสดุง่ายหาได้ในท้องถิ่นทำ “โซลาร์เซลล์” ได้ไฟหุงต้มกลางวัน นำพลังงานไปเก็บในถังน้ำมันพืชใช้แล้ว ของเหลว หรือน้ำเพื่อเก็บความร้อนที่สูงถึง 200 องศาเซลเซียส เพื่อกลางคืน เอาความร้อนนี้มาสร้างไฟฟ้าด้วย Stirling engine หรือ Thermoelectric Generator (TEG) ที่เขาประดิษฐ์ขึ้น นวัตกรรมนี้ไม่ใช้แบตเตอรี่ ใช้วัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่น เช่น น้ำมันพืชใช้แล้ว ค่าบำรุงรักษาต่ำ
นอกนั้น แทนที่จะใช้ไฟฟ้าในการสูบน้ำจากใต้ดิน เขายังพัฒนาเครื่องยนต์ Stirling ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานความร้อนตอนเริ่มต้น หมุนปั๊มชัก (Piston Pump) เพื่อสูบน้ำลึกจากใต้ดินได้ถึง 100 เมตร
นวัตกรรมนี้ไม่ใช้ไฟฟ้า ไม่มีเชื้อเพลิงฟอสซิล ใช้พลังงานฟรีจากดวงอาทิตย์ ทำงานได้ทุกวันที่มีแสงแดด รวมทั้งการประดิษฐ์เตาแสงอาทิตย์ (Solar Cooker) และ เตาผสมเชื้อเพลิงเหลือทิ้ง (อย่างขยะชีวมวล) คนจนในแอฟริกาไม่ต้องไปตัดไม้หาฟืนไกลหลายกิโลเมตรทุกวันเหมือนเคย
นี่คือระบบพลังงานเพื่อการพึ่งตนเองของชุมชน ซึ่งบ้านเรามีศักยภาพสูงกว่าอีก ถ้าร่วมมือกันใช้ความรู้และปัญญาในการพัฒนา "พลังงานเพื่อชุมชน"
นี่ไม่ใช่แค่โครงการ แต่คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากฐานราก ที่สามารถเชื่อมภูมิปัญญาไทย เทคโนโลยีสมัยใหม่ ความร่วมมือในระดับสากล และจิตวิญญาณของการพึ่งตนเองแบบมีศักดิ์ศรี
เราจะไม่เพียงแค่ติดโซลาร์เซลล์ แต่จะติดอาวุธทางปัญญา และจะจุด “แสงแห่งอิสรภาพ” ให้กับชุมชนทั่วไทย