มาม่า ชะลอลงทุนโรงงานในฮังการี! เหตุ "นโยบายแรงงาน-ต้นทุน" ไม่เอื้อ
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป "มาม่า" เปิดเผยถึงการตัดสินใจชะลอแผนการลงทุนขยายโรงงานในฮังการี โดยระบุว่าปัจจัยหลักมาจาก "นโยบายด้านแรงงาน" ของฮังการีที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงต้นทุนการก่อสร้างและพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้การลงทุนไม่คุ้มค่าความเสี่ยงที่ประเมินไว้ แม้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง และมาม่ายังเผชิญปัญหา "ผลิตไม่ทันขาย" ในบางหมวดสินค้าพรีเมียมก็ตาม
เหตุผลหลักชะลอลงทุนฮังการี นโยบายแรงงานไม่เอื้อ-ต้นทุนสูง
นายพันธ์ ชี้แจงว่า แผนการขยายโรงงานในฮังการี ซึ่งเดิมมองว่ามีศักยภาพเนื่องจากมีที่ดินเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งจากโรงงานเดิมที่ซื้อมา แต่ปัจจุบันต้องชะลอออกไปก่อน เนื่องจาก นโยบายแรงงานต่างชาติในฮังการีให้แรงงานต่างชาติได้เพียง 2-3 ปี ซึ่งโรงงานในฮังการีต้องใช้แรงงานไทยเป็นแกนหลัก ถ้าส่งตัวกลับส่งผลกระทบต่อความเชี่ยวชาญและต่อเนื่องของการผลิต
ทั้งนี้ต้นทุนสูง แม้จะใช้ที่ดินเดิม แต่ต้นทุนค่าก่อสร้างและค่าพลังงานในฮังการีก็ยังคงสูง ทำให้การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน (Return on Investment - ROI) ไม่ถึง 15% โดยปัจจุบันโรงงานในฮังการีมี 2 เครื่องจักรที่ยังเดินเครื่องผลิตอยู่ ซึ่งกำลังการผลิตอยู่ที่ 6 แสนซองต่อวัน แต่ยังไม่เต็มกำลังการผลิต
นายพันธ์ ระบุว่า "ถ้ามันไม่คุ้ม เราก็ถอย" โดยจะรอดูว่านโยบายของรัฐบาลฮังการีจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้นหรือไม่
กำลังการผลิตในประเทศ "เต็มกำลัง" กลุ่มพรีเมียมโต 30%
แม้จะชะลอลงทุนในฮังการี แต่ TFMAMA ยังคงเผชิญกับสถานการณ์ "ผลิตไม่ทันขาย" ในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าพรีเมียมอย่าง OK Series และ Big Pack ที่มีการเติบโตสูงถึง 30% ในปีที่ผ่านมา
ซึ่งกำลังการผลิตรวม ปัจจุบันกำลังการผลิตในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านซองต่อวัน (สำหรับการเดินเครื่อง 16 ชั่วโมง/วัน) ซึ่งนายพันธ์ยอมรับว่า "มันเกินร้อยเปอร์เซ็นต์มาตั้งนานแล้ว" และบางไลน์ผลิตอาจเดินเครื่องถึง 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ นายพันธ์ ยืนยันสินค้าหลัก 7 บาทไม่ขาดตลาด ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นและเป็นสิ่งที่ TFMAMA รับปากกับภาครัฐและประชาชนไว้ว่าจะไม่มีวันขาดตลาด ยังคงสามารถผลิตได้ทัน แต่สำหรับ OK Series ที่มีเครื่องจักรเพียง 4 เครื่อง การเพิ่ม 1 เครื่องหมายถึงกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นถึง 20% ทำให้การขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มนี้ยังไม่ทันความต้องการของตลาด
กลยุทธ์บริหารจัดการต้นทุน-รับมือความผันผวน
ภาพรวมครึ่งปีหลัง นายพันธ์ มองว่าปัจจัยภายในธุรกิจไม่น่าห่วงมากนัก และผลประกอบการปีนี้แม้จะไม่ดีเท่าปีที่แล้ว (ปี 2567 กำไรสุทธิ 3,565.46 ล้านบาท) แต่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ (ดีกว่าปี 2566)
เมื่อถามถึงปัยหาต้นทุน นายพันธ์เพิ่มเติมว่าราคาน้ำมันปาล์มยังคงผันผวนอยู่ในระดับที่จัดการได้ (ประมาณ 30-40 กว่าบาทต่อลิตร) แต่ TFMAMA มีการซื้อล่วงหน้าเพื่อบริหารจัดการราคาและควบคุมความสูญเสียในการใช้ทรัพยากร ทั้งนี้ความกังวลหลักคือปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สถานการณ์สงคราม อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของ TFMAMA ก็ได้เตรียมปรับมือในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน แต่คาดการณ์ว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
นอกจากนี้นายพันธ์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์ สถานการณ์กัมพูชา ยืนยันว่ายอดขายในกัมพูชาไม่ได้เป็นยอดขายหลักของบริษัท และการผลิตที่พนมเปญก็มีกำลังการผลิตของตัวเอง ทำให้ปัญหาการขนส่งข้ามแดนไม่ได้ส่งผลกระทบในภาพรวมใหญ่ และบริษัทสามารถสลับการผลิตและช่องทางการจำหน่ายได้เพื่อรองรับสถานการณ์