กรมชลประทาน เตรียมแผนบริหารจัดการน้ำรับมืออุทกภัยในพื้นที่ลุ่มต่ำ
ในห้วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ “กรมชลประทาน” ในฐานะหนึ่งในหน่วยงานหลักด้านการบริหารจัดการน้ำของประเทศ ได้พลิกโฉม "พื้นที่ลุ่มต่ำ" ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากให้กลายเป็น "ขุมทรัพย์แห่งการเพาะปลูก" ที่สร้างความมั่นคงทางอาหารและรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่เกษตรกรไทย
เปลี่ยนข้อจำกัดให้เป็นจุดแข็ง ใน 10 พื้นที่ลุ่มต่ำเจ้าพระยาตอนล่าง
กรมชลประทานได้เลือกพื้นที่ลุ่มต่ำ 10 แห่งในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ประกอบด้วย เชียงราก, ท่าวุ้ง, ฝั่งซ้ายชัยนาทป่าสัก, บางกุ่ม, บางกุ้ง, บางบาล - บ้านแพน, ป่าโมก, ผักไห่, เจ้าเจ็ด และโพธิ์พระยา ให้เป็น "พื้นที่นำร่อง" ในการจัดระบบการเพาะปลูกใหม่
โดยพื้นที่เหล่านี้แต่เดิมเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมตามธรรมชาติอยู่เสมอ แต่ด้วยการบริหารจัดการน้ำอย่างเชี่ยวชาญ กรมชลประทานได้เปลี่ยนข้อจำกัดนี้ให้กลายเป็นจุดแข็ง
โครงการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าว กุญแจความสำเร็จ
ปัจจัยหลักความสำเร็จมาจาก "โครงการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าว" ซึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อรับมือกับธรรมชาติอย่างเข้าใจ โดยมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและเป็นระบบ ดังนี้
การเริ่มต้นที่เร็วกว่าเดิม กรมชลประทานเริ่มประชาสัมพันธ์โครงการให้เกษตรกรรับทราบตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน และเริ่มส่งน้ำเข้าระบบชลประทานช่วงกลางเดือนเมษายน ทำให้เกษตรกรสามารถเริ่มเพาะปลูกได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งเร็วกว่าการรอฝนตามวิถีเดิม
เก็บเกี่ยวก่อนน้ำหลาก ผลผลิตจะถูกเก็บเกี่ยวให้เสร็จสิ้นก่อนกลางเดือนกันยายน ซึ่งช่วยให้ผลผลิตของเกษตรกรปลอดภัยจากความเสียหายจากน้ำท่าที่สูงขึ้นในช่วงปลายฤดูฝน
พื้นที่รับน้ำหลาก ระหว่างกลางเดือนกันยายนถึงปลายเดือนตุลาคม พื้นที่ลุ่มต่ำเหล่านี้จะกลายเป็น "แก้มลิงธรรมชาติ" ที่ทำหน้าที่หน่วงน้ำและกักเก็บน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความรุนแรงของน้ำท่วมในพื้นที่ตอนล่างได้อย่างมาก
เกณฑ์การคัดเลือกพื้นที่ลุ่มต่ำ วิทยาศาสตร์และประสบการณ์ของกรมชลประทาน
ทั้งนี้ การคัดเลือกพื้นที่ลุ่มต่ำที่เหมาะสม กรมชลประทานใช้หลักการพิจารณา 6 ข้ออย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่าทุกพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับประโยชน์สูงสุด
1.พื้นที่ลุ่มต่ำที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมตามธรรมชาติเป็นประจำ: เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำหลากเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
2.มีแหล่งน้ำต้นทุนเพียงพอ: รับประกันว่าจะมีน้ำสนับสนุนการเพาะปลูกได้อย่างต่อเนื่อง
3.ระบบชลประทานที่ควบคุมได้: เพื่อการส่งน้ำและระบายน้ำที่แม่นยำและตอบสนองความต้องการ
4.ขอบเขตพื้นที่ชัดเจน: เพื่อการควบคุมการกักเก็บน้ำที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
5.โครงสร้างระบายน้ำเข้า-ออกสะดวก: หัวใจสำคัญของการจัดการน้ำให้ไหลเวียนได้อย่างรวดเร็วและไม่สร้างปัญหา
6.รักษาระดับน้ำที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชน: ความใส่ใจในคุณภาพชีวิตของประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานคือสิ่งที่กรมชลประทานให้ความสำคัญสูงสุด
เปลี่ยนชีวิตเกษตรกร เพิ่มการเพาะปลูกจาก "ปีละครั้ง" สู่ "ปีละสองครั้ง"
ก่อนการจัดระบบ เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำต้องพึ่งพาน้ำฝนเพียงอย่างเดียว ทำให้เพาะปลูกข้าวได้เพียงปีละครั้ง และต้องเผชิญความเสี่ยงจากทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม ซึ่งเป็นความท้าทายที่ยากจะควบคุม
แต่ หลังการจัดระบบ ชีวิตของเกษตรกรก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เกษตรกรสามารถปลูกพืชได้ถึง “ปีละ 2 ครั้ง”
ด้วยการสนับสนุนจากระบบชลประทาน ทำให้ลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง เพราะมีน้ำต้นทุนจากระบบชลประทานคอยหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ผ่านผลผลิตที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ หลังจากระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มต่ำ กรมชลประทานจะคงระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มไว้ต่ำประมาณ 30 เซนติเมตรหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อเตรียมแปลงสำหรับฤดูเพาะปลูกถัดไปและช่วยสลายตอซังข้าวลดการเผาไหม้ ไม่เพียงช่วยรักษาความชื้นในดินโดยไม่ต้องรอน้ำฝน แต่ยังลดการใช้สารเคมีในการควบคุมวัชพืช เสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ของดิน และลดปัญหาการพังทลายของหน้าดินจากฝนตกหนัก
กรมชลประทานไม่ได้เพียงบริหารจัดการน้ำ แต่กำลัง "บริหารจัดการชีวิต" และ "สร้างโอกาส" ให้กับผืนแผ่นดินและผู้คน
การทำงานอย่างไม่หยุดยั้งนี้ คือบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วยทุกหยดน้ำที่รังสรรค์โดยหัวใจของกรมชลประทาน