โต้ข่าวกัมพูชายึด "ภูมะเขือ" สร้างกระเช้า บันได แต่ละเมิดข้อตกลง
15 ก.ค. 2568 พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข่าวว่าทหารกัมพูชายึดภูมะเขือนั้น กองทัพบกขอยืนยันว่า "ไม่เป็นความจริง"
ขอเรียนว่า พื้นที่ "ภูมะเขือ" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวปราสาทเขาพระวิหารระยะห่างประมาณ 2.8 กิโลเมตร อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่เป็นประเด็นพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา มาตั้งแต่ พ.ศ.2554 โดยฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาเดิม โดยเฉพาะพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ปัจจุบันพื้นที่ภูมะเขือเป็นพื้นที่ที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิ์
- ไทยยึดถือเส้นแนวสันปันน้ำ ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ของกรมแผนที่ทหาร
- กัมพูชายึดถือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000
ในห้วงเกิดข้อพิพาททั้งสองฝ่ายได้เคลื่อนกำลังเข้าแย่งยึดพื้นที่กัน ทำให้ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวจึงมีทั้งฐานปฏิบัติการทางทหารของทั้งไทยและกัมพูชาวางกำลังเผชิญหน้ากัน ไม่ใช่มีเฉพาะทหารกัมพูชาฝ่ายเดียวที่อยู่ในบริเวณพื้นที่อย่างที่เป็นข่าว และที่ตั้งทางทหารของฝ่ายกัมพูชาก็ไม่ได้ล้ำเส้นปฏิบัติการตามแผนที่ 1:50,000 ของเราเข้ามาแต่อย่างใด
ในอดีตการเข้าถึงพื้นที่ด้านบนของภูมะเขือทางฝั่งกัมพูชา ใช้วิธีการสร้างกระเช้าและบันไดเป็นทางขึ้นสู่ยอดภูเขา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศฝั่งกัมพูชามีลักษณะลาดชัน
ในระยะหลังฝ่ายกัมพูชา สร้างถนนลัดเลาะตามไหล่เขาในเขตกัมพูชา เพื่อใช้เป็นทางขึ้นสู่ด้านบนของภูมะเขือ
สำหรับกรณีการสร้างกระเช้าและถนนขึ้นสู่ยอดภูมะเขือดังกล่าว ฝ่ายไทยเห็นว่า เข้าข่ายเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมหรือภูมิประเทศในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์กันอยู่ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ล้ำแนวเส้นปฏิบัติการของทหารไทย แต่ถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงตาม MOU 2543
ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงได้ดำเนินการเก็บหลักฐานและทำการประท้วงผ่านกลไกความร่วมมือทางทหารในระดับพื้นที่มาโดยตลอดต่อเนื่อง
แม้ว่าฝ่ายไทยจะยึดมั่นในจุดยืนที่สำคัญ ได้แก่ การไม่รุกรานใครและยึดมั่นในการแก้ปัญหาด้วยหลักสันติวิธี แต่ยังพบเห็นการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ที่มักจะละเมิดในข้อตกลงระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายไทยไม่อาจเพิกเฉยต่อความกังวลที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งได้
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน จึงเป็นภารกิจที่ทหารไทยต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบเหมาะสมกับสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจต่อมิตรประเทศและสาธารณชนในทุกช่องทาง เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ข้อมูลถูกบิดเบือนโดยผู้ไม่หวังดีในอนาคต