สหรัฐฯ-จีน ชะลอสงครามภาษี ยืดเวลาผ่อนปรนไปอีก 90 วัน
วันนี้ (12 ส.ค.2568) CNN รายงาน ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งผู้บริหารขยายเวลาชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนออกไปอีก 90 วัน จากเส้นตายเดิม 00:01 น. ของวันที่ 12 ส.ค. ตามเวลาทางตะวันออก ซึ่งจะทำให้ภาษีสินค้าจีนพุ่งจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 64 และอาจนำไปสู่การตอบโต้จากจีนที่เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ขั้นต่ำร้อยละ 10 การตัดสินใจนี้ช่วยป้องกันวิกฤตการค้าระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ส่งผลให้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดต่ำลงเมื่อวานนี้ ก่อนหน้าการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อที่สำคัญซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในเช้าวันนี้
การขยายเวลานี้เกิดขึ้นหลังการเจรจาครั้งล่าสุดในสวีเดนเมื่อเดือน ก.ค. ซึ่งจีนอ้างว่าบรรลุข้อตกลง แต่ สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง และ เจมีสัน เกรเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ยืนยันว่าต้องรอการตัดสินใจจากทรัมป์ ล่าสุด ปธน.ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ 11 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ว่า "เราจะได้เห็นกันว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเจรจากันดีมาก ความสัมพันธ์กับ ปธน.สี และผมดีมาก" การตัดสินใจนี้สอดคล้องกับความเห็นของ เวนดี คัตเลอร์ จากสถาบันนโยบายเอเชีย ที่ระบุว่ารัฐบาลทรัมป์มีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่ข้อตกลงและการพบปะระหว่าง ทรัมป์-สี จิ้นผิง
แต่ในการประชุมครั้งล่าสุดกับเจ้าหน้าที่การค้าจีน เบสเซนต์ยังได้เตือนคู่เจรจาจีนว่า หากยังคงซื้อน้ำมันรัสเซียต่อไป อาจต้องเผชิญกับภาษีมหาศาลภายใต้กฎหมายของรัฐสภาที่อนุญาตให้ทรัมป์กำหนดภาษีได้สูงถึงร้อยละ 500 แต่ขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์พร้อมที่จะใช้มาตรการรุนแรงเหล่านี้หรือไม่
ทรัมป์เพิ่งขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีร้อยละ 50 กับอินเดีย หากยังคงซื้อน้ำมันรัสเซียต่อไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ แม้ว่าอินเดียจะซื้อในปริมาณที่น้อยกว่าจีนมากก็ตาม การลงโทษอินเดียแต่ไม่รวมประเทศอื่นที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากรัฐบาลอินเดีย ซึ่งอ้างว่าถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ทรัมป์กล่าวว่าประเทศอื่น ๆ อาจเผชิญกับการขู่ในลักษณะเดียวกันนี้
คุณจะได้เห็นอะไรอีกมาก นี่เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น
ทั้งนี้ เบสเซนต์ ยังแสดงความกังวลและเสียใจเกี่ยวกับการที่จีนขายอุปกรณ์เทคโนโลยี 2 วัตถุประสงค์ที่สามารถใช้ได้ทั้งเชิงพาณิชย์และการทหาร ให้รัสเซียไปแล้วกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการซื้อน้ำมันจากอิหร่านที่ถูกคว่ำบาตร
อีกหนึ่งประเด็นที่ยังเป็นปัญหาหลักระหว่างสหรัฐฯ และจีน คือการส่งออกแม่เหล็กหายากที่จีนตกลงที่จะเพิ่มการส่งออก แต่ทรัมป์กล่าวว่าจีนไม่ได้รักษาสัญญา และสหรัฐฯ ยังต้องการหาผู้ซื้อชาวอเมริกันสำหรับ TikTok ซึ่งปัจจุบันเป็นของบริษัทจีน รัฐสภาได้กำหนดกรอบเวลาให้แอปพลิเคชันนี้หาเจ้าของใหม่ มิฉะนั้นอาจเผชิญกับการถูกแบนในสหรัฐฯ
อ่านข่าวอื่น :