การเมืองร้อนฉ่า! คดี“พ่อ-ลูกชินวัตร” เขย่าศรัทธารัฐบาล
*** หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,121 ระหว่าง วันที่ 10-13 ส.ค.68 โดย…กาแฟขม
*** ประเทศไทยเดือนสิงหาคม-กันยายน อุณหภูมิยังคงอยู่แถบแดงๆ ร้อนแรงทะลักเดือด ด้วยปมประเด็นการเมืองคดีสำคัญที่ใกล้ชี้ชะตา ทั้ง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร คดีคลิปที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสิน ชี้ชะตาพาให้ นายกฯอิงค์ หลุดตำแหน่งหรือไม่ คดีของพ่อทักษิณ ชินวัตร เรื่อง 112 และชั้น 14 อยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ที่ต้องจับตามองสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ยามเช้าวงนํ้าชาสนทนาออกราคากันจ้าละหวั่น คุณลูกหลุด-ไม่หลุด คุณพ่อกลับไปใหม่ไหม ที่บอกว่าร้อนแรงต้องจับตา ด้วยเหตุทั้งคดีของคุณพ่อ คุณลูก ล้วนส่งผลการเมืองไทย รัฐบาล คณะรัฐมนตรี และ การบริหารประเทศ ที่เป็นเรื่องสืบเนื่องไปสู่เศรษฐกิจ ปากท้อง ประชาชน
*** ว่าที่ คุณลูก กระแสหลุดในวงพนันขันต่อร้านนํ้าชายามเช้าหัวเมืองต่างๆ นำหน้าไป ต่ออยู่เล็กน้อยเรียกว่า สูสี มุมไปต่อก็มีเหตุผลให้มั่นใจ ว่า การกระทำไม่ถึงกับเสียหาย เจรจาไม่เป็นทางการ อยู่ในความต้องการให้เกิดสันติภาพไม่เกิดการปะทะ บาดเจ็บล้มตายอย่างที่เห็น จึงใช้กลยุทธ์ ออดอ้อนวอนขอลุงอย่างที่ทราบ ไม่ถึงกับผิดจริยธรรมที่ต้องฟันให้คอขาด ข้างฝ่ายหมดเวลา ก็มั่นใจนํ้าหนัก ทำประเทศเสียศักดิ์ศรี เกียรติภูมิหมองมัว ส่อเสียเขตแดนให้เขมร ต่างฝ่าย ต่างมั่นใจ ทุ่มเค้าออกมาสู้กัน สูสีๆ ในเพลานี้
*** หลังจาก ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริการ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ทางการค้าที่โดนกันถ้วนหน้า เจรจากันอยู่หลายครั้งหลายคราว นวดแล้ว นวดอีก ในที่สุด ประเทศอาเซียนก็โดนอัตราภาษีที่ใกล้เคียงกัน ฟิลิปปินส์ 19 % มาเลเซีย 19 % ไทย 19 % อินโดนีเซีย 19 % เวียดนาม 20 % ก็ทำให้ความมั่นใจฟื้นขึ้นมาหน่อย ไทยกับคู่แข่งผลิตสินค้าใกล้เคียงกันส่งไปตลาดสหรัฐ โดนอัตราภาษีเท่ากัน ไม่เสียเปรียบ ได้เปรียบกันมากในแง่การแข่งขัน เจอหน้า พิชัย ชุณหวิชิร รองนายกฯและรมว.คลัง ช่วงนี้จึงมีรอยยิ้มมากหน่อย แม้ปัญหาเศรษฐกิจไทยโดยรวมยังมีเรื่องให้ปวดหัวบานเบอะ
*** หลังรับรู้ภาษี 19 % หลายสำนักปรับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจกันใหม่ แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ไปที่ 2 % บวกลบเล็กน้อย จากเดิมที่ให้ตัวเลขที่ 1.6 % บางสำนักรูดตํ่า 1.2-1.3 % เรียกว่า ปรับมุมมองดีขึ้นแบบเห็นๆ ตลาดหุ้นก็คึกคักขึ้นมา แต่อาจเป็นชั่วครู่ชั่วยาม
หากมองไปอุปสรรคขวางหน้าระยะกลาง-ยาว ด้วยปัจจัยเสี่ยงทั้งเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ที่เอาแน่เอานอนกับ ทรัปม์ไม่ได้ และการเจรจาของสหรัฐกับประเทศใหญ่ๆ ยังคงมีปัญหาอยู่มาก ทั้งจีน อินเดีย ที่ปิดบัญชีกันไม่ลง กระทั่งปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ สงครามเป็นหย่อมๆ ก็ยังเป็นความเสี่ยงอยู่ และสงครามไทย-กัมพูชา ปัญหาพิพาทเขตแดนที่จะเป็นบาดแผลยาวนาน ล้วนเป็นความเสี่ยงสำคัญทั้งสิ้น
***พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง แม้เจรจาสหรัฐสำเร็จ เหลือจัดการปรับปรุงรายละเอียดก่อนเสนอสภาฯ รู้ปัญหาข้างหน้าดี บอกต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศใหม่ แต่ต้องใช้เวลา ถึงจะสามารถสู้ประเทศอื่นๆ ได้ ตอนนี้จำเป็นต้องพิจารณาหลายส่วน บางเรื่องเอกชนทำ บางเรื่องรัฐบาลทำทั้งหมด ต้องมองภาพเดียวกัน หากปรับได้ดี ไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้นมาก ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยจะไปอยู่ที่ปีละ 3-5 % เป็นเป้าหมาย ต้องแก้เชิงโครงสร้างที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจของไทย ถ้าแก้ไม่ได้ก็จะลำบาก
*** ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มือระวิงวิ่งสู้ฟัดกับสารพัดปัญหา วันก่อนเชิญ 30 ผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มบริษัทชั้นนำของโลก ที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในไทย2 ปีที่ผ่านมาลงทุนไป5.5แสนล้านบาท จ้างงาน 53,000 ตำแหน่ง จาก 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้า และ แบตเตอรี่ ดิจิทัล และ อุตสาหกรรมอาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น บริษัท Sony Samsung Unimicron BYD Huyndai Google TikTok และ Nestlé มาตั้งวงพูดคุย เสริมสร้างความเชื่อมั่น มั่นใจของภาคเอกชนต่อศักยภาพ และความสามารถในการแข่งขันของไทย พร้อมยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนต่างชาติในการทำธุรกิจในไทย
*** บิ๊กอ้วน ภูมิธรรม ประกาศชัดให้คำมั่น รัฐบาลมีความจริงใจ และตั้งใจอย่างแน่วแน่ในการรักษา และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของทุกบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน เดินหน้าพัฒนากฎระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ พัฒนาทักษะแรงงาน เตรียมความพร้อมด้านพลังงานสะอาด และเร่งเจรจาเปิดตลาดการค้ากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG โดยได้เปิดให้บริการกลไก Utility Green Tariff (UGT1) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด พร้อมเอกสารรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน มีบริษัทสนใจยื่นขอใช้บริการแล้วกว่า 40 ราย และมีแผนเปิดตัว UGT2 และยังเตรียมให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทำสัญญาซื้อพลังงานสะอาดโดยตรง จากผู้ผลิตผ่านสายส่งของรัฐ ระยะแรกให้บริการกับกลุ่มธุรกิจ Data Center จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ ก่อนขยายไปอุตสาหกรรมอื่นและยังจะทำอีกหลายเรื่องสนองนักลงทุน
*** ปิดท้ายกันที่… แบรนด์ CP ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในใจของคนไทย คว้ารางวัล “Thailand Brand Footprint 2025 : Top Rising Brand” ในหมวดอาหาร เป็นแบรนด์ที่มีผู้บริโภคเลือกซื้อเติบโตมากที่สุด สะท้อนจากอัตราการเข้าถึงซึ่งวัดด้วยคะแนน Consumer Reach Points (CRPs) ที่สูงถึง 63.6 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นกว่า 10.6 ล้านครั้ง จากปีก่อนหน้า โดยแบรนด์ CP ทำได้ดีขึ้นในสินค้าทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มอาหารทานเล่น และอาหารพร้อมทาน อาทิ ไข่ต้ม อกไก่นุ่ม ไส้กรอก ฯลฯ ซึ่งอันดับดังกล่าว จัดโดยบริษัท เวิร์ลพาแนล นูเมอร์ราเตอร์ จำกัด (Worldpanel by Numerator) ผู้นำระดับโลกด้านวิจัยตลาดและวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค อนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุดด้านการตลาด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชี้ว่า แบรนด์ CP ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค ซึ่งรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ สะท้อนความแข็งแกร่ง และความชื่นชอบที่ผู้บริโภคมีต่อผลิตภัณฑ์แบรนด์ เราเชื่อมั่นว่าการครองใจผู้บริโภคได้ ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ หรือ คุณภาพเท่านั้น แต่รวมถึงราคาที่เหมาะสม ความสะดวก และ ความหลากหลายที่ตอบสนองความต้องการในแต่ละช่วงชีวิต…
หน้า 4 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,121 วันที่ 10 - 13 สิงหาคม พ.ศ. 2568