‘แมทธิว’ ปิดตำนานทายาทคนที่ 4 ทำหมันแล้ว ลั่นไม่ได้กลัวอย่างที่คิด การันตีแข็งแรงเหมือนเดิม!
เรียกได้ว่าเป็นคู่แท้ของจริง สำหรับ “แมทธิว ดีน” และ “ลีเดีย ศรัณย์รัชต์” คู่รักสุดมั่นคงแห่งวงการบันเทิง ที่คบกันมายาวนานถึง 20 ปี จนตอนนี้กลายเป็นครอบครัวอบอุ่นที่มีโซ่ทองคล้องใจถึง 3 คน น้องดีแลน น้องเดมี่ และน้องดีออน ที่ทำให้แฟน ๆ ได้เห็นความน่ารักและความสุขของครอบครัวนี้อยู่บ่อยครั้งนั้น
ล่าสุดในงานแถลงข่าว โรงเรียนนานาชาติไฮเกต ประเทศไทย แมทธิว ได้เล่าโมเมนต์ที่ควงภรรยาคนสวย ลีเดีย ไปฉลองครบรอบรัก 20 ปี สุดหวานฉ่ำ พร้อมเผยเคล็ดลับเติมความรักให้แน่นแฟ้น และขอประกาศปิดตำนานทายาทคนที่สี่
แมทธิว เผยว่า “สำหรับการลงรูปที่ย้อนวัยมาก ใช่ครับ คือฉลองครบรอบ 20 ปี อาจจะเกินด้วยซ้ำ แต่มันก็แปลกดี คือเราค้นโทรศัพท์แล้วก็ไปเจอรูปแรก ๆ ที่เราเคยถ่ายด้วยกัน สมัยจีบกันใหม่ ๆ ก็สนุกดี มันเป็นอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกปี เราคบกันมา 20 ปี มันเปลี่ยนหลายอย่าง ทั้งหน้าตาและความคิด ทั้งครอบครัวของเรา มันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ พอเราย้อนกลับไปดูมันก็สนุกดี อย่างที่เดียร์ถามว่า 'รักหรือแกงกันแน่' (ยิ้ม) ไม่แกง แกงตัวเองมากกว่า ผมว่ามันเป็นอะไรที่น่ารักและเป็นสิ่งที่ดี ผมว่าสมัยนี้เราโชคดีที่มีเทคโนโลยีอย่างโทรศัพท์มือถือ หรือกล้องที่มันสามารถเก็บภาพพวกนี้ได้ง่าย ๆ
ส่วนรูปที่ย้อนกลับไปดูเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนแรก ๆ ที่คบกัน มันทำให้เราจำได้ในแต่ละโมเมนต์ มันเหมือนรื้อเมมโมรี่เก่า ๆ กลับคืนมา ก็น่ารักดีในมุมมองผม ผมก็ชอบดู ส่วนของขวัญวันเกิดปีนี้ของภรรยาก็มี ปีนี้เป็นของเรียบง่าย กระเป๋าออกกำลังกาย พอดีช่วงนั้นเขาเริ่มมีเวลาว่าง เริ่มกลับมาออกกำลังกาย เข้ายิม เข้าฟิตเนส ก็จะซื้ออุปกรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เขา ก็แฮปปี้ คู่เราไม่ได้เน้นในเรื่องของของขวัญ มันอยู่ที่เจตนาอยู่ที่ใจมากกว่า ยังไงเราก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว
นอกจากของขวัญก็มีดินเนอร์ อันนี้ก็จะพิเศษนิดนึง ก็อย่างที่หลายคนรู้ว่าคนมีลูกก็จะไม่ค่อยได้มีเวลาไปเที่ยวกันสองคน หรือว่าไปดินเนอร์สักเท่าไหร่ แต่พอดีว่าผมก็เคลียร์คิว เลยไปดินเนอร์ ไปร้านที่อยากไปมานาน เป็นร้านที่มีชื่อเสียงของเมืองไทยและดังในกลุ่มต่างชาติด้วย แต่เราเองก็ไม่เคยได้ไป ก็เลยไปลอง รู้สึกดีมากและโรแมนติกมาก มันมีเวลาได้นั่งคุยกันจริง ๆ จัง ๆ ไม่มีสิ่งรบกวน ไม่มีเสียงโน้นนี้เข้ามา ผมว่าทุกคู่ก็ควรจะหาโมเมนต์แบบนี้ด้วยเพราะมันสำคัญ จริง ๆ ปีก่อนเคยวางแผนกันว่าจะต้องหาวันออกเดทเดือนละครั้งเป็นประจำ ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ว่าปีนี้ผมว่าต้องพยายามมากขึ้นและขยันมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าเป็นเวลาที่มีคุณค่ามากสำหรับเรา
พอหนีลูกไปสวีทมันตามคาดแหละ พอถึงเวลาใกล้นอนก็มีเสียงโทรศัพท์เข้ามา ก็จะบอกว่า ไม่พาเข้านอนหรอยังอ่านหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่น่ารักดี ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวให้พี่เลี้ยงพานอนไปก่อน (หัวเราะ) ส่วนโมเมนต์คู่กันผมว่ามันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา อย่างดินเนอร์ก็เป็นสิ่งที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราน่าจะพอทำได้เรื่อย ๆ แต่ถ้าให้ดีก็น่าจะเป็นทริปสั้น ๆ ไปต่างจังหวัด หรือประเทศใกล้ ๆ สักคืนสองคืนก็ยังดี มันเป็นการที่เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจริง ๆ เหมือนย้อนกลับไปในช่วง 20 ปีที่แล้ว เราก็ใช้เวลาตรงนั้นให้เป็นประโยชน์มากที่สุด และยังคงมีรีเลชั่นชิพระหว่างเราสองคน บางทีเราอยู่กับลูกจนความสัมพันธ์ของเราสองคนมันหายไปในบางช่วง เพราะฉะนั้นโมเมนต์แบบนี้มันก็สำคัญ จะทำให้ได้มากที่สุด”
คุณพ่อลูก 3 เผยต่อว่า “ซึ่งการที่เราอยู่ด้วยกันมันก็เหมือนกับการเติมเต็ม มันทำให้ความสัมพันธ์ของเราแข็งแรงขึ้น ซึ่งการที่เราอยู่ด้วยกันมา 20 กว่าปีเอง มันก็ต้องจูนกันอยู่เรื่อย ๆ คนสองคนต่างที่และโตมาไม่เหมือนกัน มันก็มีอะไรที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว มันก็จะตรงกันในบางเรื่อง แล้วก็มีหลายจุดที่ไม่ตรงกัน แต่อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับมันได้หรือเปล่า เราพร้อมที่จะมองข้ามบางจุดที่เราไม่ชอบก็ได้ แต่ถ้าจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนหนึ่งผมว่าก็ไม่ค่อยเหมาะเหมือนกันนะ จริง ๆ มันอยู่ที่การยอมรับและการจูนให้เราเข้าใจและยอมรับอีกคนหนึ่งมากกว่า
ส่วนเรื่องของเบบี๋ที่เราลบเร้าอยากจะเพิ่มมาตลอด คือมันจบแล้วครับ ถามว่ามันจบแน่แล้วใช่ไหม ก็ผมทำหมันแล้วครับ จริง ๆ มันไม่ได้เป็นการยอม คือมันเป็นสิ่งที่เราสองคนตกลงกัน มันก็โอเค แรก ๆ เราก็อาจจะคิดว่าอยากมีลูกมากที่สุด แต่พอมีแล้วก็เหนื่อย สามคนนี้โอเคแล้ว ผมว่ามันแฮปปี้สุด ๆ แล้วอย่างผู้ชายบางคนไม่กล้าทำหมันเพราะกลัว แต่ผมไม่ได้กลัว แค่ไม่รู้ว่าถึงเวลาหรือยัง ก็อาจจะมีกลัวนิดนึงในเรื่องของทางกายภาพ ว่ามันจะมีผลต่อเราทางกายหรือเปล่า มันจะเหมือนเดิมไหม ซึ่งเรื่องนี้ก็มีคนขู่เยอะ ซึ่งคนที่ขู่ก็ยังไม่ได้ทำ แต่พอเราไปปรึกษากับเพื่อน ๆ ที่เคยทำมาแล้ว เขาบอกว่าคุณหมอบอกว่าไม่มีปัญหา ยังเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ แข็งแรงเหมือนเดิม ก็แฮปปี้มาก
สำหรับธุรกิจในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจซบเซา ถามว่ามีผลกระทบกับค่ายมวยของเราไหม ก็มีผลกระทบกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนไทยครับ เพราะว่าคนไทยก็ใช้เงินน้อยลง บางทีเทรนมวยไทยก็ลดลงไปด้วย ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ในมุมของต่างชาติที่รองรับก็ค่อนข้างจะดี ในหลายปีที่ผ่านมา รายได้ดีเหมือนเดิม เราโชคดีที่มวยไทยเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย และเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์จริง ๆ ส่วนแรงดึงดูดต่างชาติที่จะมาในประเทศไทยมันก็ยังมีและดีมาก ๆ บวกกับการตลาดของมวยไทยก็มีเพิ่มขึ้น และค่อนข้างน่าสนใจมากสำหรับค่ายมวยผม ชาวต่างชาติก็เยอะเหมือนเดิมและเยอะกว่าเดิมด้วย แต่คนไทยลดน้อยลง จริง ๆ ก็อยู่ได้ อยู่ได้เพราะชาวต่างชาติตอนนี้ เราก็ปรับตามนั้น เพราะตลาดมันเปลี่ยนแล้ว คนไทยลดลงแล้วก็เป็นในเรื่องของต่างชาติมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ชาวต่างชาติก็ประมาณ 70-80% จากแต่ก่อนคนไทย 80%”