ชาวบ้านหมดหวังผู้แทนยุคนี้!
“อิ๊งค์” ยกคำสอนแม่ชีศันสนีย์อีกรอบ บอกการสร้างกำลังใจให้ตัวเองได้เป็นเรื่องดีที่สุด "ดร.เจษฎ์" ชี้คดีคลิปอังเคิลร้ายแรงกว่า "เศรษฐา" เพราะแอบแทงข้างหลังคนทั้งประเทศ “โพล” ตอกย้ำระอานักการเมือง ยี้ผลงาน สส. เผยหากเลือกตั้งจะไม่เอากลับมาอีกทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ ฟากนักธุรกิจยังระอา หนุนพรรคเล็ก-พรรคใหม่
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 ส.ค.2568 เวลา 12.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โพสต์ไอจีสตอรี่ คำสอนของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถานว่า การได้รับกำลังใจเป็นเรื่องดี แต่การสร้างกำลังใจให้ตัวเองได้เป็นเรื่องดีที่สุด และ สติเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราอยู่เหนือความชอบ-ชังได้
รายงานแจ้งว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 21 ส.ค. เวลา 10.30 น. ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) คดีคลิปเสียงสนทนาของ น.ส.แพทองธาร และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และศาลนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 ส.ค. เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป
ในขณะที่ นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวในเรื่องนี้ว่า น.ส.แพทองธารคงไปชี้แจงศาลด้วยตัวเอง เพราะจากที่ฟังคลิปเสียงเต็มๆ สิ่งที่ น.ส.แพทองธารพูดเป็นการพูดคุยเพื่อนำข้อมูลไปสู่การเจรจาทางการในอนาคต ไม่ว่าเกิดสงครามที่ไหน การเจรจาเป็นเรื่องสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทหาร เพราะการต่อสู้นำไปสู่การสูญเสียของทั้งสองฝ่าย และสิ่งสำคัญที่สุดจากการพูดคุยดังกล่าว ประเทศไทยไม่ได้เสียหายอะไรเลย จะเห็นว่าการที่สมเด็จฮุน เซน ขอให้เปิดด่านก่อน น.ส.แพทองธารก็ไม่ได้รับปาก บอกแต่เพียงว่าต้องไปถามฝ่ายความมั่นคง และพื้นที่ทับซ้อนที่มีปัญหาก็เกิดมาก่อนรัฐบาล น.ส.แพทองธารที่เข้ามาแก้ไข
“เรื่องสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์ลุกลามมาถึงขั้นนี้ เพราะรัฐบาลเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปิดด่าน ไม่ให้คนไปเล่นการพนันที่กัมพูชา ประกอบกับที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทำให้สมเด็จฮุน เซน ขาดรายได้ ดังนั้นคนที่ออกมาโจมตีใส่ร้ายป้ายสี น.ส.แพทองธารในขณะนี้ ถือเป็นคนที่สานฝันสมเด็จฮุน เซน เพราะบอกว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลใน 3 เดือน” นายวรชัยกล่าว
นายวรชัยกล่าวอีกว่า มั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้น น.ส.แพทองธารไม่ได้ทำผิด เป็นการร้องเรียนเรื่องจริยธรรม มีกรอบการพิจารณา มีดุลพินิจเชื่อว่าศาจจะพิจารณาจากสภาพความเป็นจริง และส่วนตัวมองว่า วันนี้ถ้าเปลี่ยนรัฐบาล ใครจะมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ภาษีสหรัฐอเมริกา สงครามเศรษฐกิจที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน เพราะฉะนั้นคนที่ออกมาขับไล่รัฐบาล ขออย่าเอาผลประโยชน์ส่วนตัวและความเกลียดชัง น.ส.แพทองธาร และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ถ้าไม่พอใจรัฐบาลก็ขอให้รอออกไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง
ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 กล่าวว่า คดีของ น.ส.แพทองธาร หากเทียบกับคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญให้โอกาสมากกว่า เพราะเปิดให้ไต่สวน ส่วนเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของ น.ส.แพทองธารนั้น เป็นลักษณะของการมาเขียนปั้นเพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ได้ทำไปแล้วนั้นมีหลักการอย่างไร มันก็ดูดี อ่านเพลิน แต่ไม่มีน้ำหนัก
"หากเทียบระหว่างคดีนายเศรษฐากับคดี น.ส.แพทองธารนั้น คดีของนายเศรษฐายังไม่ร้ายแรงเท่าคดีของ น.ส.แพทองธาร แอบไปคุยกับฮุน เซน ลับหลังคนไทยทั้งประเทศ เนื้อหาที่คุยจะบอกว่าเป็นการขุดบ่อล่อปลาอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าเนื้อหาเหล่านั้นไม่ถูกเปิดเผยออกมา พวกเราคนไทยทั้งประเทศคงจะถูกแทงไปเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 เพราะเป็นฝ่ายตรงข้าม คนทำเยี่ยงนั้นถือว่าขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ ซึ่งมันร้ายแรงกว่ากรณีนายเศรษฐา เพราะเป็นเรื่องที่ผูกพันทั้งชาติ ประเทศชาติทั้งประเทศชาติ” ดร.เจษฎ์ระบุ
ส่วนนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “อุ๊งอิ๊ง จะลาออกเอง รอศาลให้ออก ก็ต้องออกอยู่ดี” ระบุว่า เห็นท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทยออกมายืนยันว่า น.ส.แพทองธารจะไปศาลในวันที่ 21 ส.ค. และไม่ลาออกนั้น น่าจะเป็นการพูดเอาอกเอาใจ ปลอบใจกันเอง และให้กำลังใจ น.ส.แพทองธารมากกว่า เพราะข้อมูลทั้งหมดยังไม่เคยออกจากปาก น.ส.แพทองธารโดยตรงเลย แสดงให้เห็นว่า น.ส.แพทองธารยังไม่มีความมั่นใจ เพราะพูดไปก็จะผูกมัดตัวเอง
“ถ้า น.ส.แพทองธารมั่นใจว่าจะไม่ลาออก ยืนกระต่ายขาเดียวสู้จนถึงวันที่ 29 ส.ค. วันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย เชื่อว่า น.ส.แพทองธารคงออกมายืนยันกับสื่อมวลชนแล้ว แต่ที่ต้องปิดวาจา ปิดปากเงียบเช่นนี้ น่าจะเป็นเพราะอยู่ระหว่างการตัดสินใจ รอดูท่าทีการต่อดีลหรือดีลต่อว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ไม่ว่า น.ส.แพทองธารจะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ก่อนวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยหรือไม่ ก็เชื่อว่า น.ส.แพทองธารไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ต่อไปได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่งก่อน ก็จะถูกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่งอย่างแน่นอน”
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์กล่าวถึงกระแสข่าว น.ส.แพทองธารจะลาออกจากนายกฯ หรือไม่ ว่าสิ่งสำคัญต้องประเมินที่การตัดสินใจไปไต่สวนที่ศาลในวันที่ 21 ส.ค.หรือไม่ ถ้าจะลาออกคงไม่ไปไต่สวนให้เจ็บตัวเพิ่มอีก แต่อย่างน้อยที่สุดคนที่เป็นนายกฯ ถ้าเชื่อมั่นว่าตัวเองมีความสุจริตใจ ไม่ได้กระทำความผิด ก็ไม่มีอะไรที่จะไม่ไป
“ข้อเท็จจริงของคดีความนั้น สาระไม่ได้อยู่ที่ผู้ร้องมีอคติหรือไม่ แต่อยู่ที่การกระทำของผู้ถูกร้องได้เข้าเขตความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น การทำลายน้ำหนักผู้ร้องจึงไม่ได้เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ถูกร้อง การด้อยค่า สว.ไม่ได้ทำให้นายกฯ อุ๊งอิ๊งมีคุณอะไรในเรื่องคดี”
ส่วนการอ้างว่าสมเด็จฮุน เซน ไม่มีอำนาจตามกฎหมายนั้น นายจตุพรกล่าวว่า ใครก็รู้ว่าสมเด็จฮุน เซน ในทางพฤตินัยมีอำนาจสูงสุดของกัมพูชา เช่นเดียวกับนายทักษิณ มีอำนาจเหนือลูกสาว นายกฯ อุ๊งอิ๊ง และพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งสิ่งนี้วิญญูชนพึงคิดเองได้ และถ้านายกฯ อุ๊งอิ๊งเห็นว่าฮุน เซน ไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง แล้วไปคุยไปเจรจากับเขาทำไม แสดงว่าที่ไปเจรจานั้น คุณย่อมรู้ว่าเขามีอำนาจจึงเจรจา
โพลแฉเอือมนักการเมือง
วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลการสำรวจเรื่อง มีความหวังหรือหมดหวังกับพรรคการเมือง โดยสอบถามประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ 1,310 หน่วยตัวอย่าง โดยเมื่อถามความพอใจต่อการทำงานของ สส.ปัจจุบัน ในเขตเลือกตั้ง พบว่า 32.29% ไม่ค่อยพอใจ, 28.24% ไม่พอใจเลย, 27.18% ค่อนข้างพอใจ, 11.60% พอใจมาก และ 0.69% ไม่ตอบ
สำหรับการเลือก สส.ปัจจุบัน ในเขตเลือกตั้งให้กลับเข้าสู่ตำแหน่งหากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า 50.69% ไม่เลือก, 25.57% ไม่แน่ใจ และ 23.74% เลือก ด้านความหวังของประชาชนต่อพรรคการเมืองที่มี สส.อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบัน (ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน) ในการแก้ปัญหาของประเทศ พบว่า 41.91% หมดหวังแล้ว, 34.19% ค่อนข้างหมดหวัง, 20.92% ค่อนข้างมีความหวัง และ 2.98% มีความหวังมาก
ท้ายสุดเมื่อถามถึงการเลือก สส.แบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมืองเดิมที่เคยเลือกเมื่อปี 2566 หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า 40.46% ไม่เลือก, 29.47% เลือก, 26.95% ไม่แน่ใจ และ 3.12% ยังไม่เคยไป/ไม่ได้ไปลงคะแนนเสียง
ด้านสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยรายงานผลสำรวจเรื่องโพลนักธุรกิจ นักลงทุน คิดอย่างไรต่อพรรคการเมือง จากกลุ่มตัวอย่างนักธุรกิจ นักลงทุน ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริการ การค้า และการผลิตทั่วประเทศ 450 ตัวอย่าง โดยภาคธุรกิจมีมุมมองวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในหลายมิติ โดย 74.3% เห็นว่าพรรคใหญ่เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน มีหลายมุ้งหลายกลุ่ม ไม่เป็นเอกภาพ, 70.9% เห็นว่าพรรคใหญ่ถูกหนุนหลังโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และ 68.8% เห็นว่าพรรคใหญ่ไม่สะท้อนเสียงของธุรกิจ SMEs ที่เป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย
เมื่อถามถึงความต้องการเห็นการเมืองเปลี่ยนแปลง พบว่า 82.4% ของนักธุรกิจและนักลงทุน แสดงความต้องการอย่างชัดเจนที่จะเห็นการเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง มีเพียง 9.5% ที่ไม่ต้องการ และ 8.1% ไม่มีความเห็น นอกจากนี้ ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองเล็กและพรรคเกิดใหม่กำลังได้รับความสนใจ โดยเฉพาะพรรคปวงชนไทยที่มีคะแนนนำในหลายประเด็น.