2 สัปดาห์ในศูนย์อพยพ: เสียงจากชายแดนบุรีรัมย์ “อยากให้สงครามจบจบเร็วๆ เราอยากกลับบ้าน”
ครบ 2 สัปดาห์แล้ว (6 สิงหาคม) นับตั้งแต่เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทีมข่าว THE STANDARD ลงพื้นที่ศูนย์อพยพชั่วคราวแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพูดคุยกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ดังกล่าว ก่อนที่จะได้ข้อสรุปของการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ เวลา 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของมาเลเซีย
‘บุญล้อม’ อายุ 66 ปี ชาวบ้านจากอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เล่าว่า ตนเองและครอบครัวราว 5 คน อพยพมาอยู่ที่ศูนย์อพยพแห่งนี้ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังเกิดเสียงระเบิดและการปะทะบริเวณชายแดน โดยได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่บ้านให้อพยพออกจากพื้นที่โดยด่วน
แม้ว่าอาหารการกินในศูนย์อพยพจะเพียงพอ และมีการดูแลเป็นอย่างดี แต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 2 สัปดาห์ บุญล้อมยอมรับว่าเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ทั้งยังนอนไม่ค่อยหลับ และรู้สึกคิดถึงบ้าน อีกทั้งยังต้องขาดรายได้จากการทำมาหากิน
“สิ่งที่อยากได้มากที่สุดตอนนี้คืออยากให้มีการเจรจา อยากให้สงครามจบเร็วๆ ชาวบ้านจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ทำมาหากินได้ เรารอฟังข่าวอยู่ทุกวัน อยากให้สงครามหยุดลงโดยเร็ว”
ในด้านของการเยียวยา บุญล้อมกล่าวว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ จึงหวังว่ารัฐบาลจะช่วยเยียวยาในส่วนนี้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการยุติความรุนแรง
“อยู่ที่นี่ก็ร้อน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก สงสารทั้งเจ้าหน้าที่และทหารที่อยู่แนวหน้า อยากให้ทุกอย่างจบเร็วที่สุด ถ้ากลับบ้านได้พรุ่งนี้เลยก็ดี”
บุญล้อมฝากข้อความถึงผู้นำทั้งสองประเทศว่า “อย่ารบกันเลย เรานับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน ขอให้รักกัน ไม่ต้องฆ่าฟันกัน สงสารประชาชนทั้งสองประเทศ เราก็ประชาชนด้วยกัน ขอให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็วที่สุด”
ขณะที่ ‘แป้ง’ อายุ 64 ปี ชาวอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เล่าว่า อพยพมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม วันเกิดเหตุขณะนั้นกำลังขายของอยู่ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น จึงรีบหนีออกจากพื้นที่ทันที โดยมีลูกสาวซึ่งเป็นกู้ภัยกลับไปช่วยเก็บของบางส่วน ก่อนจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันกว่า 2 สัปดาห์แล้ว
แป้งบอกว่า ขณะนี้รู้สึกคิดถึงบ้าน อยากกลับไปดูแลนาและสุนัขที่เลี้ยงไว้ แต่ก็ยังทำไม่ได้ อยากให้เขาหยุดยิง เราจะได้กลับบ้าน อยากให้รัฐบาลปรองดองกัน ไม่อยากให้มีเหตุแบบนี้อีก เพราะต้องหนีออกจากบ้าน ภาระมันเยอะจริงๆ
เหตุปะทะในปีนี้รุนแรงกว่าช่วงปี 2554 โดยในชุมชนมีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านเตรียมพร้อมอพยพอยู่เสมอ สำหรับการเยียวยา ตนได้ลงทะเบียนตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำแล้ว และได้รับแจ้งว่าจะได้เงินครัวเรือนละ 3,000 บาท แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับ ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไรและผ่านช่องทางใด อีกทั้งการต้องพักพิงอยู่ที่นี่นานกว่า 2 สัปดาห์ ทำให้ขาดรายได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วน ‘สมัย’ ชาวอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เผยว่า อพยพออกจากบ้านมาตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา เดิมทีไปพักอยู่บ้านของพี่สาว แต่สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ เพราะในวันเกิดเหตุมีเสียงระเบิดดังสนั่นตกลงใกล้บ้าน ทำให้ตัดสินใจมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงแห่งนี้
สมัยเล่าว่า ที่ศูนย์พักพิงมีการดูแลอย่างดี ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง แต่สิ่งที่ต้องการที่สุดคือการได้กลับบ้าน เพราะเป็นห่วงทั้งบ้านและสัตว์เลี้ยง พร้อมทั้งอยากให้สถานการณ์ยุติลงโดยเร็ว “อยากให้เขาหยุดยิง เพราะสงสารลูกหลานตัวเล็กๆ ที่เกิดใหม่ อยากให้มีแต่ความสงบสุขไปจนถึงอนาคต” สมัยกล่าว
ส่วนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ เวลา 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของมาเลเซีย สมัยกล่าวว่า “อยากให้ทุกอย่างปลอดภัย อยากให้จบๆ สักที อย่าให้ใครเดือดร้อนเลย ลูกหลานก็สงสาร แค่นี้ก็พอแล้ว อยากให้คุยกันด้วยการเจรจา”
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้กองร้อยปฏิบัติการจิตวิทยาที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จังหวัดนครราชสีมา ลงพื้นที่ศูนย์อพยพแห่งนี้ เพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ โดยมีกิจกรรมร้องเพลงและสร้างบรรยากาศสนุกสนานให้กับชาวบ้านและเด็กๆ ภายในค่ายอพยพด้วย