เรียนรู้นอกกรอบ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ทักษะการแบ่งปัน
ในวันนี้ปรากฏว่าไทยแพ้ลาวแล้ว ในเรื่องคุณภาพการศึกษาไทยในระดับโลก
ภาพกราฟิกของหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ฉบับ 22 มีนาคม 2568 เปิดเผยว่าระดับการศึกษาของไทยอยู่ในกลุ่มบ๊วย (Back of the Class)
World Population Review เปิดเผยผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของโลกประจำปี 2567 ปรากฏว่าไทยอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก และอยู่ในอันดับ 8 ของอาเซียน เป็นลำดับตามหลังลาวที่เป็นอันดับ 7
รายงานนี้จัดทำโดย US News and World Report, BAV Group และ Wharton School จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย โดยสำรวจจากประชากรใน 78 ประเทศ ทั้งๆ ที่งบประมาณด้านการศึกษาของไทย ปี 2567 เป็นเงิน 3.3 แสนล้านบาท จำนวนมากเป็นอันดับสองรองจากกระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยมีโรงเรียนมากกว่า 30,000 แห่ง มีครูราว 400,000 คน
มีชัย วีระไวทยะ ประธานและผู้ก่อตั้งโรงเรียนมีชัยพัฒนา กล่าวว่า ระบบการศึกษาที่ดีจะต้องช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสามารถค้นคว้าและแสวงหาทางเลือก จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของโรงเรียน จาก ‘โรงเรียนที่ให้ความรู้’ มาเป็น ‘แหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต’ และเป็นศูนย์กลางการพัฒนาสำหรับทุกคน ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง ตลอดจนผู้คนในชุมชน
ใช่หรือไม่ว่าประเทศไทยมีศักยภาพด้านทำเล ดิน น้ำ อากาศ ที่อุดมสมบูรณ์ เอื้ออำนวย ต่อพืชเกษตรกรรมอาหารซึ่งเป็นความจำเป็นของการดำรงชีวิต
ดังที่ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร บิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ได้เอ่ยอมตะวาจาไว้ราว 60 ปีที่แล้วว่า ‘เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง’
โรงเรียนมีชัยพัฒนา (โรงเรียนไม้ไผ่) อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นตัวอย่างที่ถางทางการเรียนรู้โดยใช้เกษตรกรรมนำทาง ด้วยการปฏิบัติจริงแล้วขยายผลไปหลายทิศทาง
เกษตรกรรมนำทาง
นักเรียนทุกคนทำการเกษตรได้ ปลูกถั่วงอก เพาะเห็ด ปลูกต้นอ่อนทานตะวัน ปลูกมะเขือ พริก มะกรูด มะนาว นอกจากได้นำมาปรุงอาหารแล้ว การรดน้ำ การพรวนดิน การปลูกผักในวงล้อ การปลูกผักสลัดโดยไม่ใช้ดิน การปลูกข้าวในเข่ง เป็นทักษะทางการเกษตรที่ติดตัวไปตลอดชีวิต
เด็กเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติธรรมดา การซื้อของเครื่องใช้ รวมทั้งวัสดุประกอบอาหารในโรงเรียนทั่วไป มักให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายธุรการจัดซื้อของโรงเรียน แต่ที่โรงเรียนไม้ไผ่ เปิดทางให้มีคณะมนตรีนักเรียน ด้านการจัดซื้อและด้านตรวจสอบช่วยกันรับผิดชอบ
นักเรียนจัดทีมไปตลาดเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อจัดซื้อข้าวสาร เนื้อหมู เนื้อไก่ พริกแกง ผักสด เครื่องปรุงอาหาร เพื่อประกอบอาหารตามรอบระยะเวลา และปริมาณที่ต้องใช้ในโรงครัว ซึ่งจะต้องหุงข้าว ทำกับข้าว วันละ 3 มื้อ สำหรับ ครู นักเรียน และแขกของโรงเรียนประมาณ 150-200 คนต่อวัน
นักเรียนเป็นคนคำนวณวัตถุดิบ เลือกร้านค้า เลือกของที่จะซื้อ ต่อรองราคา และจัดซื้อให้ได้ตามราคาที่เหมาะสม
ควบคู่ไปกับการจัดซื้อ คือคณะมนตรีด้านตรวจสอบ พอของมาถึงโรงครัว นักเรียนต้องเข้าไป ชั่ง ตวง วัด ตรวจสอบของที่ซื้อให้ได้ตามปริมาณ คุณภาพ และราคาที่เหมาะสม
คณะมนตรี 2 ชุดนี้ยังต้องทำหน้าที่ในการจัดซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ใช้ในโรงเรียน โดยนักเรียนเป็นผู้ค้นหา สืบราคา ศึกษาประโยชน์ในการใช้งาน เปรียบเทียบราคา ทดลองใช้ แล้วร่วมกันตัดสินใจซื้อ
ด้วยวิธีนี้ นักเรียนเป็นผู้เรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง
อีกเรื่องที่โรงเรียนอื่นไม่ทำ คือการให้เด็กร่วมกับครู เป็นผู้สัมภาษณ์ครูสมัครใหม่และเด็กนักเรียนสมัครใหม่
เหตุผลก็เพราะครูและเด็กจะต้องเรียนรู้อยู่ด้วยกันไปนานนับปี เด็กจึงควรมีบทบาทในการคัดเลือก จะเลือกถูกเลือกผิด เด็กก็จะเรียนรู้ว่าตนเองมีความรับผิดชอบร่วมด้วย
การเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติมีผลต่อความเข้าใจและได้ทักษะ เพราะใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมด หูได้ยิน ตาได้เห็น จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส มือหรือกายได้ลงมือทำ และใจได้สัมผัส
สามวินัย
ในขณะที่โรงเรียนในต่างประเทศหลายแห่ง เช่น เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยียม ออสเตรเลีย เพิ่งออกกฎกติกาห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน ในระยะ 1-5 ปีมานี้เอง
แต่โรงเรียนไม้ไผ่วางกฎนี้ไว้ตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ขวางกั้นสัมพันธภาพบุคคล และทำให้เด็กเสียเวลาไปกับกิจกรรมหรือข่าวสารหลอกลวงมากมาย
เมืองไทยวันนี้กลายเป็นสังคมก้มหน้าเต็มรูปแบบ แต่ละคนไม่สนใจคนที่อยู่ตรงหน้า เช่น พ่อ แม่ ลูก ญาติมิตร ครู นักเรียน กลับไปจดจ่อเสพติดอยู่แต่หน้าจอไฟฟ้า โรงเรียนจึงวางกฎไว้เลยว่า นักเรียนทุกคนห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อถึงเย็นวันเสาร์
ตอนเย็นวันเสาร์ กติกามีว่านักเรียนต้องเขียนจดหมายด้วยลายมือ 3 ฉบับ ถึงพ่อแม่ ถึงญาติ ถึงครูเก่า ถึงเพื่อน หรือใครก็ตามที่เป็นญาติหรือมีบุญคุณ นี่เป็นการฝึกการเรียบเรียงความคิด
นักเรียนทุกคนจะต้องอดข้าวมื้อเย็นเฉพาะวันเสาร์ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อ เพื่อไปเข้าใจความอดหิวของคนยากไร้ในโลกด้วยการอดข้าวด้วยตนเอง เพราะการอ่านหนังสือไม่สามารถเข้าใจถึงหัวอกคนอดข้าวได้
หลังจากทำสองข้อแรกแล้ว โรงเรียนจะอนุญาตให้เบิกมือถือไปใช้งานเป็นเวลาหนึ่ง ชั่วโมงเพื่อโทรศัพท์หาพ่อแม่พี่น้องของตน นี่คือวินัยที่เข้มงวดของโรงเรียน
ศาลแผ่เมตตา
หน้าเรือนไม้ไผ่ในโรงเรียน จะมีศาลแผ่เมตตา ลักษณะคล้ายศาลพระภูมิ ทำด้วยไม้ไผ่
ไม่ใช่ศาลที่นักเรียน ครู หรือใครๆ จะมาจุดธูปเทียน วางอาหารเพื่อบนบานศาลกล่าวให้สอบไล่ได้ ให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ให้ถูกหวย ให้รวยทรัพย์ อะไรทำนองนั้น
แต่ศาลนี้เป็นพลังแห่งการร่วมกันอธิษฐานจิตอย่างพร้อมเพรียงกันของนักเรียนและครู เพื่อ ให้โรคระบาดโควิดหมดไป ขอให้สงครามยูเครน สงครามฉนวนกาซา และสงครามชายแดนไทย-กัมพูชายุติลง อธิษฐานให้คนที่ประสบภัยพิบัติได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ขอให้ผู้อพยพลี้ภัยสงครามจงมีถิ่นที่อาศัย และมีอาหารเพียงพอที่จะบำรุงเลี้ยงร่างกาย
ศาลแผ่เมตตาจึงเตือนสติให้นักเรียนมองไกลออกจากตนเองไปถึงผู้คนที่ประสบชะตากรรมให้ได้รับการเยียวยาดูแล
บ้าน วัด โรงพยาบาล
เป็นเครือข่ายพื้นที่ใกล้เคียง ที่โรงเรียนเข้าไปร่วมทุกข์ปันสุขให้แก่ชุมชน
เด็กนักเรียนจับคู่กับคนชราในหมู่บ้าน ร่วมกันทำแปลงผักอย่างง่ายๆ ใช้แรงน้อย ใช้ที่ดิน น้อย ใช้น้ำน้อย และร่วมกับชาวบ้านช่วยกันทำกองทุนเงินกู้เพื่อยกระดับรายได้ชุมชน
ที่โรงพยาบาลลำปลายมาศ เด็กนักเรียนไปร่วมกับ พยาบาล คนไข้ และญาติคนไข้ ทำแปลงเกษตรในพื้นที่ 2 งาน ปลูกผัก พริก มะเขือ ป้อนโรงพยาบาลและขายราคาถูกให้กับคนไข้และญาติของคนไข้
ที่วัดโนนสุวรรณ อำเภอโนนสุวรรณ จังหวัดบุรีรัมย์ ในวันนี้ เจ้าอาวาสและนายก อบต. ร่วมกับโรงเรียนไม้ไผ่ ร่วมกันทำแปลงเกษตร โดยชาวบ้าน 20 ครัวเรือน มาปลูกผัก และแปรรูปอาหารผลิตภัณฑ์เกษตร มีบ้านพักให้คนชราที่ถูกทอดทิ้งได้อยู่อาศัย เพื่อให้มาสร้างผลิตผลร่วมกัน ในวันนี้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ และศึกษาดูงานของคณะผู้สนใจต่างๆ มากมาย
โรงเรียนยังมีนวัตกรรมอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ให้เด็กนั่งรถเข็น รดน้ำผัก เพื่อไปเข้าใจความลำบากของคนพิการขา เด็กเป็นคนคิดทำแผงโซลาร์รถเข็นเพื่อเคลื่อนย้ายได้ เด็กเจาะรูไม้ไผ่แล้วเอาถุงพลาสติกไปรองรับน้ำไม้ไผ่มาดื่ม เด็กวาดภาพ ลงสีวัตถุอุปกรณ์ ข้างฝา โอ่งน้ำ บันได ทางเดิน ตามแต่ใจต้องการได้ เด็กเพาะเนื้อเยื่อต้นกล้วยหอมและพืชอื่นๆ ได้
แทนที่จะเรียนจากครูหรือตำรา ก็เปลี่ยนมาเรียนรู้จากการปฏิบัติ
แทนที่จะเรียนเพื่อไต่บันไดดารา ก็เรียนเพื่อที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น และก้าวหน้าไปด้วยกัน
แทนที่จะเรียนแต่ในห้องสี่เหลี่ยม ก็ไปเรียนด้วยการลงมือทำในแปลงผัก ในหมู่บ้าน ในชุมชน
แทนที่จะท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง ก็ใช้วิธีให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้และ ลงมือทำเอง
ใครไปรู้ ไปเห็น ไปสัมผัส ของจริงที่โรงเรียนมีชัยพัฒนา ลำปลายมาศ บุรีรัมย์ และโรงเรียนร่วมพัฒนาอีก 240 โรงเรียนในเครือข่าย ก็จะรู้สึกได้ถึงพลังสร้างสรรค์ อันไร้ขีดจำกัดของนักเรียน ได้บรรยากาศแห่งคารวะธรรม ไมตรีจิต และการแบ่งปัน ได้พบสภาพแวดล้อมที่เอื้ออาทรต่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเยาวชน
นี่คือ การยกระดับการศึกษาที่เป็นจริง และท้าทายผู้สนใจทุกคนไปสัมผัสโดยตรงได้จึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund – UNFPA) ได้กล่าวยกย่องว่า
“The Bamboo School is one of the World ’s most innovative schools”
“โรงเรียนมีชัยพัฒนา เป็นโรงเรียนที่มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก”