ไทยทำอะไร!! วันที่มหาวิบัติภัย Extreme Weather ถล่มโลก
“ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ได้ระบุผ่าน Carbon Markets Club ว่า ตามคำจำกัดความ Extreme Weather หมายถึงสภาพอากาศที่รุนแรงผิดปกติ หรือเกิดในช่วงที่ไม่ตรงตามฤดูกาลก่อให้เกิดภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ร้อนจัด แห้งแล้ง ฝนหนักมาก น้ำท่วมฉับพลัน ฯลฯ ในอดีตความผิดปกติของสภาพอากาศเช่นนี้นานทีจะเกิดขึ้นสักหน เช่น ฝนร้อยปี ฯลฯ แต่เมื่อโลกร้อนขึ้นเรื่อย ๆ การเกิดจึงบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้น โดยเห็นได้จากเราได้ยินคำว่า “ฝนตกหนักในรอบ 40 ปี” “พายุรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี” ฯลฯ เป็นประจำจนเริ่มสงสัยว่าทำไม 40-50 ปี มันเกิดบ่อยจัง
การเกิดExtreme Weather ในแต่ละพื้นที่ยังต่างกัน ทำให้ภัยคุกคามไม่เท่ากัน ในแอฟริกาอาจเผชิญภัยแล้งเป็นปัญหาหลัก ขณะที่ยุโรปกลัวคลื่นความร้อนจัดที่อาจทำให้คนป่วยหรือแม้กระทั่งเสียชีวิต ปากีสถานเป็นประเทศที่เสี่ยงสุด ๆ กับน้ำท่วมใหญ่ ขณะที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาเผชิญเฮอริเคน ฝั่งตะวันตกเจอไฟป่า ฯลฯ สภาพเช่นนี้เคยเป็นเรื่องปกตินานทีปีหน กลับกลายเป็นเรื่องที่เกิดประจำทุกปีหรืออีกไม่นานอาจกลายเป็นทุกเดือน
ที่น่ากังวลคือตอนนี้โลกอยู่ในภาวะNeutral หรือภาวะเป็นกลาง ไม่มีเอลนีโญหรือลานีญา แต่ภัยพิบัติกลับเกิดขึ้นตลอด หมายถึงว่าสิ่งที่เกิดอยู่ตอนนี้เป็นผลจากแค่เพียงโลกร้อน ไม่อยากคิดว่าหากโลกอยู่ในภาวะ
เอลนีโญ บวกเพิ่มมาอีกเด้ง ความร้อนความแห้งแล้งจะเกิดขึ้นหนักหนาแค่ไหน หรือในทางกลับกัน หากโลกอยู่ในภาวะลานีญา ฝนจะกระหน่ำหรือน้ำจะท่วมเพิ่มอีกเท่าไหร่ นี่คือเรื่องน่าวิตกจริงจัง เพราะเอลนีโญและลานีญาไม่ใช่แผ่นดินไหวที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอีกเมื่อไหร่ แต่เอลนีโญและลานีญายังไงก็ต้องเกิด และภายใน 3-5 ปีต่อจากนี้ ยังไงก็คงต้องเจอ หวังเพียงว่าจะเป็นระดับเบาหรือปานกลาง อย่าให้เป็นระดับแรงเหมือนปี ค.ศ.1997-98 (พ.ศ. 2540-2541) มิฉะนั้น สถานการณ์จะย่ำแย่สุดขีด
สำหรับประเทศไทย ภัยหลักจากExtreme Weather ของเราคือน้ำท่วม โดยแบ่งง่าย ๆ เป็นน้ำท่วมฉับพลันจากพายุและน้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนักเฉพาะพื้นที่ทำให้เกิดน้ำรอการระบาย สำหรับพายุหมุนเขตร้อน เช่น ไต้ฝุ่น พายุโซนร้อน พื้นที่เสี่ยงคือภาคเหนือฝั่งตะวันออก เช่น
น่าน เชียงราย เพราะโอกาสที่พายุจะเข้ามาทางชายฝั่งเวียดนามมีบ่อยกว่าโอกาสที่พายุจะเข้ามาในฝั่งอ่าวไทย เช่น พายุโซนร้อนปาบึก พ.ศ. 2562 หลังจากนั้นไม่มีพายุรุนแรงเข้ามาอีกเลย ในขณะที่ฝั่งน่าน/เชียงรายได้รับผลกระทบจากพายุต่อเนื่องกัน 2 ปี เช่น พายุไต้ฝุ่นยางิ (ปี 67) พายุโซนร้อนวิภา (ปี 68)
ในขณะที่ฝนตกหนักน้ำท่วมฉับพลันแบบไม่มีพายุรุนแรงเข้ามาเกิดกระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ แม้ในขณะที่เขียนอยู่ แม่สายกำลังเจอน้ำท่วมฉับพลันอีกครั้ง (ในช่วงปี 67-68 เกิดน้ำท่วมในแม่สายเกือบ 10 ครั้ง) ขณะที่น่านที่น้ำเพิ่งลดจากผลของพายุวิภา น้ำกลับท่วมใหม่ในบางพื้นที่เนื่องจากฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำทั้งที่ไม่มีพายุ ในขณะเดียวกัน หลายพื้นที่ทั่วไทยอาจเกิดน้ำท่วมในลักษณะดังกล่าวโดยไม่ทราบล่วงหน้า เช่น พัทยาเกิดน้ำท่วมหนักเมื่อฝนตกต่อเนื่องเพียง 2 ชั่วโมง แม้น้ำจะลดลงได้เร็วเมื่อเทียบกับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นจากพายุ แต่รถยนต์ข้าวของโดนท่วมไปแล้วก็เสียหายไปแล้ว
ภัยพิบัติยังไม่จำกัดเฉพาะบนบก สภาพลมแรงผิดฤดูกาลส่งผลกระทบกับอ่าวไทย ทำให้กรมอุตุนิยมวิทยาต้องประกาศให้เฝ้าระวังหรืออย่าออกจากฝั่งเป็นระยะ ผลกระทบดังกล่าวทำให้ชาวประมงพื้นบ้านและเรือท่องเที่ยวขนาดเล็กประสบปัญหา ไม่สามารถออกทำมาหากินได้เท่ากับสมัยก่อน เมื่อรายได้ลดน้อยลง คนทำต่อไปไม่ไหว จำเป็นต้องเลิกทำอาชีพนั้น สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มเกิดมาขึ้นเรื่อย ๆ ตามชายฝั่งบ้านเรา
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เราเริ่มทราบแล้วว่า Extreme Weather ส่งผลกระทบในหลายด้าน ทั้งรุนแรงฉับพลันหรือค่อย ๆ ทำให้คนทำอาชีพไปต่อไม่ไหว ผลกระทบยังเกิดตั้งแต่เหนือสุดที่แม่สายจนใต้สุดที่นราธิวาส การรับมืออย่างจริงจังและเป็นระบบคือเรื่องจำเป็นอย่างเร่งด่วน ทว่า การปรับตัวของประเทศไทยอาจไม่ทัน แม้ว่าเราเริ่มมีงานวิจัยใหม่ ๆ เช่น การประเมินความเสี่ยงพื้นที่ต่าง ๆ
จากผลกระทบของ Extreme Weather แต่ยังอยู่ในระดับงานวิจัยและยังไม่ได้นำไปใช้จริงจัง ยังมีอุปสรรคอีกมาก เช่น ความคิดห่วงบ้าน ห่วงสัตว์เลี้ยงของคน แม้จะเกิดภัยฉุกเฉินต้องอพยพ การตัดสินใจเพื่อประเมินความเสี่ยงในบ้านที่ดินของตน ฯลฯ ขณะที่ Extreme Weather เกิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนทั้งระบบทั้งแนวคิดยึดติดของคนจำเป็นต้องใช้เวลา ในช่วงของการปรับเปลี่ยนแบบนี้จึงมีหลายคนได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรับมือและปรับตัวยังอยู่ในรูปแบบเฉพาะหน้า การรับมือในระยะสั้นหรือปานกลางจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ว่าง่าย ๆ คือตัวใครตัวมัน
ทางแก้คือภาครัฐตลอดจนภาคเอกชนต้องร่วมมือกันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ลงทุนในโปรแกรมรับมือและการปรับตัวกับโลกร้อนแบบจริงจัง มิใช่ใช้เพียงแนวคิดเดิมระบบเดิมเติมเงินเข้าไป เพราะวิธีนั้นอาจไม่สามารถรับมือกับExtreme Weather ที่รุนแรงและมีผลกระทบในหลายมิติได้ เราต้องการโครงการยักษ์ที่จะทำให้เกิดพลังในการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
แต่ วันนี้เรายังไม่เห็นความเป็นไปได้ดังกล่าว ในทางกลับกัน เรากลับได้ยินโครงการที่ใช้เงินเป็นพัน ๆ ล้านเพื่อประมูลการจัดแข่งขันกิจกรรมต่าง ๆ ที่บางทีอาจดีหากเรามีเงินเหลือใช้ แต่ภัยพิบัติจ่อหน้า เราไม่มีเงินเหลือใช้ เรายังไม่มีแนวคิดต่อสู้กับ Extreme Weather ใด ๆ ยกเว้นบอกว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ Net Zero ในอีก 40 ปี
สถานการณ์เช่นนี้ช่างดูวังเวง…