3 สมมุติฐานทองคำปลายปี 2025 เส้นทางราคาพุ่งแรง–ทรงตัว–หรือร่วง? จากการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ FED
การตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ FED จะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำปี 2025 โดยมีทั้งกรณีฐาน ขาขึ้น และขาลง ให้จับตาอย่างใกล้ชิด
Aussiris มองว่าทิศทางราคาทองคำปลายปี 2025 จะขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เป็นหลัก
กรณีฐาน (Base Case)
FED ลดดอกเบี้ย 1–2 ครั้ง ดอลลาร์อ่อน
ทองเคลื่อนไหว 3,400–3,500 ดอลลาร์
กรณีบวก (Bullish)
FED ลดดอกเบี้ยแรงกว่า 2 ครั้ง เศรษฐกิจถดถอย และมีความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์
ดันราคาทอง ทะลุ 3,500 ดอลลาร์ ไป 3,600–3,700 ดอลลาร์
กรณีลบ (Bearish)
เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว FED ชะลอการลดดอกเบี้ย ดอลลาร์แข็ง
ทองอาจ ร่วงกลับ 3,300–3,050 ดอลลาร์
…ดูเหมือนว่า ทองคำยังมีเสน่ห์ลงทุน แต่ทุกการเคลื่อนไหวของ FED จะชี้ชะตาราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คาดการณ์ราคาทองคำโลกปี 2025
สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกต่างออกมาคาดการณ์ราคาทองคำปลายปี 2025 โดยให้กรอบเป้าหมายที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ยังมองบวกต่อทิศทางทองคำ
Bank of America (BofA) มองราคาทองคำพุ่งได้สูงสุดถึง 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ หากปัจจัยเอื้อต่อสินทรัพย์ปลอดภัย
Goldman Sachs ประเมินราคาทองอยู่ที่ 3,700 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินผ่อนคลายและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
UBS ตั้งเป้าราคาเฉลี่ยปลายปีที่ 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ มองว่า Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยหนุนทองคำ
Citi ให้มุมมองใกล้เคียงกัน คาดทองคำที่ 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ สะท้อนภาพเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยง
…ทั้ง 4 สถาบันยังคงมุมมองบวกต่อทองคำในปี 2025 โดยกรอบราคาเคลื่อนไหวตั้งแต่ 3,500–4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ชี้ให้เห็นว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกเลือกใช้ป้องกันความเสี่ยงจากเศรษฐกิจและการเงินโลก
ธนาคารกลางทั่วโลกแห่ตุนทอง!
ขณะที่ธนาคารกลางยังซื้อสุทธิในครึ่งแรกปี 2025 เพื่อกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์ เสริมเสถียรภาพทุนสำรอง และสะท้อนบทบาททองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยระยะยาว
World Gold Council (WGC) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า ความต้องการถือครองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้งในปีนี้ โดยการซื้อทองในครึ่งแรกของปี 2025 ถูกมองว่ายัง “แข็งแกร่งและมีสุขภาพดี” (healthy) แม้จะชะลอลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
สหรัฐฯ และยุโรป ยังคงเป็นผู้ครองทองรายใหญ่ที่สุดของโลก
โดยสหรัฐฯ ถือทองคำ 8,133.5 ตัน (74.9% ของทุนสำรอง), เยอรมนี 3,351.2 ตัน, อิตาลี 2,451.8 ตัน และฝรั่งเศส 2,437 ตัน ทั้งหมดเน้นการถือครองระยะยาวมากกว่าซื้อเพิ่ม
จีนถือเป็นผู้ซื้อต่อเนื่อง โดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ซื้อทองติดต่อกัน 9 เดือน
ล่าสุดเดือนกรกฎาคมเพิ่มอีก 2 ตัน ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 2,300 ตัน คิดเป็น 6.8% ของทุนสำรอง และในไตรมาสแรกปีนี้ซื้อรวมกว่า 46 ตัน
โปแลนด์ ขึ้นแท่นผู้ซื้อรายใหญ่สุดในไตรมาสแรก ด้วยการซื้อทอง 57 ตัน ตามด้วย อินเดีย ซึ่งเร่งเพิ่มสัดส่วนทองในทุนสำรองจาก 8.9% เป็น 12.1% ภายในเวลาเพียง 1 ปี
นอกจากนี้ ยังมีประเทศอย่าง ตุรกี, คาซัคสถาน, กัมพูชา, ฟิลิปปินส์ และกานา ที่ซื้อเพิ่มในเดือนพฤษภาคม ขณะที่บางประเทศ เช่น เช็ก และ ฟิลิปปินส์ มีการขายออกเล็กน้อย 3–4 ตัน
ผลสำรวจของ WGC ระบุว่า 95% ของธนาคารกลาง คาดว่าจะเพิ่มการถือครองทองคำภายใน 12 เดือนข้างหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นว่า “ทองคำ” ยังคงเป็นสินทรัพย์สำคัญในการกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์และเสริมเสถียรภาพทางการเงินโลก