ลุ้น ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย-บ้านเพื่อคนไทย’ ไปต่อหรือพอแค่นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นับแต่วันที่ศาลสั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ 1 กรกฎาคม 2568 และคณะรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ โดยมีมติ 6 :3 นั้น
โดยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุถึงสาเหตุการวินิจฉัยในครั้งนี้ว่า เนื่องจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร และสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
ทั้งนี้เป็นที่น่าจับตาว่า “นโยบายพรรคเพื่อไทย” จะสามารถเดินหน้าต่อหรือต้องพับแผนลง เนื่องจากตามกระบวนการการขออนุมัติโครงการขนาดใหญ่จำเป็นต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเท่านั้น ซึ่งครม.รักษาการไม่สามารถอนุมัติได้
สำหรับนโยบายคมนาคมของพรรคเพื่อไทยที่มีการหาเสียงนั้น ดังนี้
ประเดิมที่นโยบายแรก “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” โดยพรรคเพื่อไทยตั้งเป้านโยบายนี้สามารถใช้ได้ทุกเส้นทางในวันที่ 15 พ.ย.2568 ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนพร้อมใช้สิทธิผ่านแอปทางรัฐกว่า 2.5 แสนราย
ขณะเดียวกันพบว่าร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการระบบตั๋วร่วมพ.ศ. …,ร่าง พ.ร.บ.รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 และร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางรางฯ
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ว่า “นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้โดยสาร ซึ่งการเดินทางเป็นปัจจัยหนึ่งในการดำเนินชีวิตและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี
ดังนั้นรัฐจึงจำเป็นต้องเข้ามาดูแลในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อช่วยให้ประชาชนประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย และทำให้ชีวิตของประชาชนสะดวกสบายขึ้น การเดินทางด้วยระบบรางถือเป็นการเดินทางที่ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมได้ดีที่สุดอย่างหนึ่ง
ในปัจจุบันทางรัฐบาลอยู่ระหว่างการเจรจากับภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้ลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าโดยมีเป้าหมายคือ ค่าโคยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพ คือ 20 บาทตลอดสาย
นโยบายที่ 2 “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” 1 ในนโยบายเรือธงที่ต้องการให้คนไทยมีบ้านเป็นของตัวเองและเป็นบ้านสำหรับคนทำงานที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้า ผ่อนถูก ไม่ต้องดาวน์ มีอัตราการผ่อนเริ่มที่ประมาณ 4,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลาผ่อน 30 ปีในการครอบครองได้รับสิทธิถือครอง 99 ปี
ทั้งนี้ในปัจจุบันภาครัฐ โดยกระทรวงคมนาคมได้กำหนดวันจับสลากคัดเลือกผู้ลงทะเบียนโครงการบ้านเพื่อคนไทย ในช่วงบ่ายของวันที่ 18 กันยายน 2568 ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
จากข้อมูลจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พบว่า มีผู้ลงทะเบียนในโครงการบ้านเพื่อคนที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น มีจำนวนทั้งสิ้น 126,000 ราย อีกทั้งในปัจจุบันยังมีการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนโครงการในจังหวัดเชียงใหม่ ระยะที่ 2 อีกเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับโครงการบ้านเพื่อคนไทยนำร่องพื้นที่ 4 แปลงบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประกอบด้วย
พื้นที่บางซื่อกม.11 เนื้อที่ 8,000 ตารางเมตร จัดเป็นที่พักอาศัยได้ประมาณ 1,300 หน่วย พื้นที่รอบสถานีรถไฟธนบุรี (ศิริราช) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 35,061 ตารางเมตร จัดเป็นพื้นที่ที่พักได้ประมาณ 2,100 หน่วย
พื้นที่รอบสถานีรถไฟจังหวัดเชียงใหม่ สามารถจัดเป็นพื้นที่พักอาศัยได้ประมาณ 574 หน่วย พื้นที่รอบสถานีรถไฟเชียงราก จังหวัดปทุมธานี สามารถจัดเป็นพื้นที่พักอาศัยได้ประมาณ 210 หน่วย
นโยบายที่ 3 การติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้รถไฟชั้นสามทุกขบวน พร้อมปรับปรุงสภาพภายในให้มีความทันสมัย เพื่อคุณภาพการเดินทางที่ดีขึ้นของผู้มีรายได้น้อย และผู้ใช้รถไฟชั้นสามทั่วประเทศ
เพื่อยกระดับรถไฟโดยสารทั่วประเทศให้สามารถเป็นการเดินทางแบบไปกลับประจำ (Commute) ได้อย่างแท้จริง พร้อมสร้างระบบ Feeder ที่สะดวกสบายเชื่อมโยงแต่ละ Hub ยกตัวอย่างเช่น เส้นทาง นครราชสีมา-กรุงเทพฯ และเพิ่มความเร็วให้ได้เป็น 200 km/h
ทั้งนี้ตามแผนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ขับเคลื่อนแผนโครงการปรับปรุงรถโดยสารชั้น 3 ให้เป็นรถโดยสารชั้น 3 ปรับอากาศ จำนวน 85 คัน โดยการนำมาปรับปรุงใหม่ ทั้งการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ การออกแบบเบาะที่นั่งให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น การปรับปรุงห้องสุขาให้เป็นระบบปิด
ขณะเดียวกันยังนำรถโบกี้จ่ายไฟฟ้ากำลังปรับอากาศ (Power Car) มาใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าให้กับระบบต่างๆ ในตู้โดยสารทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดีในระยะแรกจะดำเนินการปรับปรุงรถโดยสารชั้น 3 จำนวน 40 คัน วงเงิน 295.6 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการนำส่งเอกสารของโครงการ เพื่อออกประกวดราคาและดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e-Bidding
คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาจ้างได้ภายในเดือนธันวาคม 2568 และจะสามารถรับรถชุดแรก จำนวน 5 คัน ในเดือนพฤษภาคม 2569 ส่วนที่เหลืออีก 35 คัน จะแล้วเสร็จจนครบทุกคันภายในต้นปี 2571
สำหรับนโยบายที่ 4 เร่งการเชื่อมโยงรถไฟขนส่งสินค้า จากลาวเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบัง และสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือแหลมฉบังที่กำลังขยายตัวรองรับสินค้า 18 ล้านตู้ต่อปี เพื่อขจัดปัญหาคอขวดในกระบวนการกระจายสินค้าเกษตรตลอดโซ่อุปทาน
นอกจากนี้เพื่อสร้าง Ecosystem ยกระดับไทยเป็น Logistics Hub ของเอเชีย ทั้งทางทะเล และทางอากาศเชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ
เป็นการเชื่อมต่อเพื่อเพิ่มปริมาณทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยวกับจีนและประเทศในอาเซียน เส้นทางรถไฟดังกล่าวยังเชื่อมต่อกับเส้นทางสายไหมใหม่ (Silk Road Economic Belt) ซึ่งเป็นประตูไปยังเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง รัสเซีย และยุโรป