นายจ้าง ผวา! เด็กจบใหม่ เรียกค่าจ้างแรงงานสูง แต่ไร้ประสบการณ์
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ปัจจุบันแม้ตัวเลขการว่างงานจะต่ำแต่ยอมรับว่าการสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการขององค์กรยังคงเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในระดับบนและระดับกลาง ที่ต้องการทักษะเฉพาะทางกลับพบว่าผู้สมัครงานจำนวนมากยังขาดทักษะที่ไม่ตรงกับตำแหน่งงาน เช่น ทักษะภาษาอังกฤษ หรือการใช้คอมพิวเตอร์พื้นฐาน นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องทัศนคติของแรงงานบางกลุ่มที่อาจจะไม่อดทนต่อการทำงาน ทำให้การหาคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อให้อยู่ทำงานได้นานเป็นเรื่องยาก
ทั้งนี้ ประเด็นน่าสนใจคือเรื่องของความคาดหวังของเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษา ผู้สมัครงานจำนวนไม่น้อยมักจะเรียกค่าจ้างในระดับสูง เช่น 18,000 บาท โดยที่อาจจะยังไม่ได้พิจารณาคุณสมบัติและประสบการณ์ของตนเองอย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่สถานประกอบการต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและสถานประกอบการในการปรับหลักสูตรและพัฒนาทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการอย่างแท้จริง
ขณะเดียวภาคโรงงานยังคงประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในระดับล่าง หรือที่เรียกว่า Unskilled Labor ซึ่งเป็นแรงงานที่อาจไม่จำเป็นต้องมีทักษะเฉพาะทางมากนัก สามารถเข้ามาฝึกงานและปฏิบัติงานได้ในระยะเวลาอันสั้น ประมาณ 2-3 สัปดาห์ การขาดแคลนแรงงานกลุ่มนี้เห็นได้จากการที่แรงงานกัมพูชาเริ่มไหลกลับประเทศ ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการรองรับ เช่น การเปิดให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตให้อยู่ทำงานได้ 2 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคส่วนนี้
"Early Retire" และ "Part-time" ไม่ใช่ภาพรวมของ SME
นายธนิต กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะมีกระแสข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การลดคนงานผ่านโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retire) หรือการจ้างงานแบบพาร์ทไทม์ที่ได้รับความสนใจ ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในบางธุรกิจและไม่ใช่ภาพสะท้อนของตลาดแรงงานโดยรวมของประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ในภาคสถาบันการเงินที่กำลังมีการปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการนำเทคโนโลยี Virtual Banking และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในการดำเนินงาน ทำให้มีความต้องการลดกำลังคนลง โดยมักจะมุ่งเป้าไปที่พนักงานในกลุ่มผู้สูงอายุที่ใกล้เกษียณผ่านโครงการ Early Retire แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น
ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 85% ของสถานประกอบการทั้งหมดในประเทศไทย ยังไม่ได้มีการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเข้ามาใช้ในองค์กรอย่างกว้างขวาง ทำให้ความต้องการแรงงานและการจ้างงานยังคงเป็นไปตามปกติ ไม่ได้มีการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจ้างงานอย่างมีนัยยะสำคัญ
ส่วนกรณีของการจ้างงานแบบพาร์ทไทม์นั้น จากการสำรวจข้อมูลจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานพาร์ทไทม์โดยตรงว่า ตัวเลขการจ้างงานรูปแบบนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแรงงานซับคอนแทรคตามโรงงานก็ยังคงที่ หรืออาจมีแนวโน้มลดลงด้วยซ้ำไป เหตุผลหนึ่งที่อาจทำให้มีการจ้างงานพาร์ทไทม์มากขึ้นในบางภาคส่วน อาจเป็นเพราะพฤติกรรมและความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการงานอิสระและมีความยืดหยุ่นในการทำงานมากกว่า แต่ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่านายจ้างทั่วไปหันมาจ้างพาร์ทไทม์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเพื่อลดต้นทุน
สำหรับสถานการณ์ตลาดแรงงานไทยในปัจจุบันว่ายังคงมีความแข็งแกร่งโดยอ้างอิงจากตัวเลขอย่างเป็นทางการพบว่า อัตราการว่างงานของไทยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 0.7% ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบอย่างน้อย 1 ปี และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติของประเทศที่มักจะอยู่ที่ประมาณ 1% อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่บ่งชี้ว่าจำนวนผู้ว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ผลต่อภาคแรงงานไทยในสถานการณ์ปัจจุบันมาจากการส่งออกสินค้าที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและทำหน้าที่เป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทย ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ตัวเลขการส่งออกของไทยสามารถขยายตัวได้ถึง 14.4% ซึ่งถือเป็นสถิติประวัติการณ์
โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย มีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 20% ของการส่งออกทั้งหมด และมีการขยายตัวที่โดดเด่นถึง 30% ในช่วง 7 เดือนแรก และเร่งตัวขึ้นไปอีกเป็น 36% ในเดือนกรกฎาคมเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว