“สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง“ ชำแหละเศรษฐกิจไทยหนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง

การลอยตัวค่าเงินบาทเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้ง หลังจากวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ซึ่งรัฐบาลขาดเงินตราต่างประเทศที่จะสนับสนุนค่าเงินบาทจนต้องประกาศปล่อยค่าเงินลอยตัว ทำให้ค่าเงินบาทมีมูลค่าลดลงกว่า 50% หลังการใช้มาตรการดังกล่าวเพียง 6 เดือน

โดยวิกฤตที่เกิดขึ้นครั้งนั้นถูกขนานนามว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เพราะว่ากันว่าประเทศไทยคือจุดเริ่มต้น ก่อนลุกลามไปหลายประเทศในทวีปเอเชีย

อย่างไรก็ดี เมื่อเอ่ยถึงวิกฤตต้มยำกุ้งชื่อหนึ่งที่ไม่เคยถูกลืมเลือน และมักถูกนึกถึงเป็นลำดับต้นก็คือ "สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง" เจ้าพ่อเหล็กผู้ล้มละลายจากต้มยำกุ้ง บุรุษผู้เป็นเจ้าของวลีดัง "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย"

ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์ "สวัสดิ์" ถึงมุมมองด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมา

เศรษฐกิจวิกฤตหนัก

สวัสดิ์ ระบุว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่ไม่ดีนัก เรียกว่าแย่กว่าตอนต้มยำกุ้งหลายเท่า โดยที่ไม่สามารถเชื่อคำพูดของผู้เชี่ยวชาญ หรือกูรูคนไทนได้เลยว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวใน 6 เดือนถึง 1 ปี เพราะยังไม่รู้ว่าสงครามระหว่างอิหร่าน และอิสลาเอลจะไปสิ้นสุดตรงไหน ซึ่งหากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลทำให้มีปัญหาด้านพลังงานทั้งโลก

“เวลานี้รู้สึกเห็นใจเจ้าของอุตสาหกรรมโรงเหล็ก เพราะเศรษฐกิจไม่ดี การก่อสร้างก็น้อยลง แม้กระทั่งผู้ที่ทำอสังหาริมทรัพย์ (Real estate) ก็ขายไม่ได้ เพราะการเข้ามาของเทคโนโลยีซึ่งทำให้สถาบันการเงินสามารถเช็คข้อมูลของผู้กู้ ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน บริษัทเป็นอย่างไร และไม่ปล่อยกู้ ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าเวลานี้ปัญหาหนักกว่าต้มยำกุ้งมาก และไม่มีผู้ใดที่บอกได้ว่าจะดีขึ้นเมื่อไหร่”

ทั้งนี้ ปัจจุบันการทำธุรกิจไม่ว่าขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็กต้องปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เหลื่อเชื่อมาก แม้กระทั่งสตรีทฟู้ดที่ถนนบรรทัดทอง ซึ่งเคยรุ่งเรืองแต่ตอนนี้กลับซบเซา เนื่องจากกำลังซื้อที่แท้จริงหายไป แม้รัฐบาลจะพยายามสร้างกำลังซื้อเทียมด้วยการแจกเงิน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าใดนัก

“สมัยก่อนอุตสาหกรรมใช้แรงงานมนุษบ์ หรือคน แต่เวลานี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) เพราะต้องการลดต้นทุนการผลิต ซึ่งทำให้มีผู้ตกงานเป็นจำนวนมาก โดยทำให้กำลังซื้อหายหมดทำธุรกิตจก็เจ๊งวันยังค่ำ“

การเมืองแย่งตำแหน่ง

ส่วนสถานการณ์การเมืองก็ถือว่าเละเทะเป็นอย่างมาก มีการทะเลาะกันเรื่องแย่งตำแหน่ง กระทรวงใดที่มีงบก็จะแย่งกันเข้าไปรับตำแหน่ง ส่วนสภาฯก็ต้องถามว่าทำอะไรบ้าง ซึ่งเมื่อเป็นไปในลักษณะดังกล่าวนี้ ประเทศจะมีอนาคตได้อย่างไร

ประเทศไทยต้องการการพัฒนา แต่ที่ผ่านมาไม่ว่ามีการประชุมครั้งไหน ยังไม่เห็นโครงการที่จะสร้างงานให้คนไทยอย่างจริงจัง ตนพูดมาหลายสิบปีตั้งแต่สมัยน้าชาติ (ชาติชาย ชุณหะวัณ) ,ป๋าเปรม (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ) เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ไทยจะต้องสร้างเมืองใหม่ ต้องมีการสร้างรถไฟทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีงานทำ มีที่อยู่อาศัย ไทยมีวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์สามารถขายได้ ซึ่งทุกประเทศก็ทำแบบนี้

สวัสดิ์ กล่าวอีกว่า เวลานี้ไทยเป็นตัวตลกของแหลมอินโดจีน ประชาธิปไตยเป็นอย่างไร ลองดูประเทศ สปป.ลาว ,กัมพูชา ,เมียนมา ,เวียดนาม ,สิงคโปร์ ,อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์แต่ละประเทศเป็นประชาธิปไตยแบบไหน

สำหรับเวียดนามที่นักลงทุนเลือกเพราะรัฐบาลมั่นคง ดังนั้นระบอบประชาธิปไตยจะเหมือนกันทุกชาติไม่ได้ ไทยต้องปกครองตนเองตามวัฒนธรรม จารีตประเพณี จะไปก็อปปี้หรือลอกเลียนแบบจากยุโรป หรือสหรัฐอเมริกาคงไม่ได้

“ไทยต้องเปลี่ยนระบบการปกครองตามวัฒนธรรมจารีตประเพณีของไทย อย่าไปเลียนแบบจากยุโรป หรือสหรัฐ ยิ่งคนที่ไปเรียนเมืองนอก โตเมืองนอก นำวัฒนธรรม ระบบการปกครองมาใช้ ต้องยอมรับว่าใช้ไม่ได้ ดูประเทศรอบบ้านทำไมอยู่เป็นสุข เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์เป็นประชาธิปไตยแบบเผด็จการ ลาวยิ่งสบายเพราะจีนมทำเส้นทางสายไหม โดยเชื่อมไปถึงยุโรป อิหร่าน และรัสเซีย“

รู้จักสิทธิแต่ไม่รู้จักหน้าที่พลเรือน

สวัสดิ์ กล่าวต่อไปอีกว่า 10 ปีมานี้ระบบประชาธิปไตยของไทยใช้ได้หรือเปล่า ที่หนักที่สุดต้องไปดูว่าประชากรไทย 70 ล้านคน เสียภาษีกี่ล้านคน และรัฐบาลจะดูแลไหวหรือไม่ คนไทยรู้จักสิทธิ แต่ไม่รู้จักหน้าที่พลเมือง เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่ไม่เคยคิดถึงหน้าที่พลเมือง

นักการเมืองคิดได้อย่างไร ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ขนาดสหรัฐฯ เอลวิสกำลังดังยังต้องไปเกณฑ์ทหาร เพราะเป็นหน้าที่พลเมืองที่ต้องทำ โดยระบอบประชาธิปไตยจะปกครองทุกชาติเหมือนกันหมดไม่ได้ ตนไม่มีความเชื่อ เพราะฉะนั้นเวลานี้เศรษฐกิจไม่ใช่ฝากไว้กับประเทศไทย เวลานี้ทั้งโลกไม่มีกำแพงกั้น เปิดเสรีสามารถทำการค้าระหว่างกันได้หมด

”ทุกวันนี้สงสารเด็กไทยจบแล้วหางานทำไม่ได้ ขณะที่รัฐบาลก็ไม่มีโครงการไหนที่จะทำแบบระยะยาวให้กับคนไทย แทบหาไม่ได้เลย ปัจจุบันรู้สึกดีใจที่ธุรกิจเจ๊งก่อน เพราะไม่ต้องเสียภาษีให้ ส.ส. ประชุครั้งหนึ่งใช้งบเป็น 10 ล้านค่าอาหาร เบี้ยเลี้ยง ประชุม แต่ประชุมแล้วไม่ได้อะไร“

สวัสดิ์ ปิดท้ายอย่างน่าสนใจว่า ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจจะดีไหมคงตอบไม่ได้ แต่ทุกคนต้องหาทางป้องกันตนเอง เพราะเชื่อใครไม่ได้