เจาะวิกฤต Rule of Law: ทำไมผู้มีอำนาจลอยนวล แต่คนเปราะบางถูกลืม
กรุงวอร์ซอ โปแลนด์– “ทำไมความยุติธรรมจึงดูห่างไกลและไม่สม่ำเสมอ?
ทำไมผู้มีอำนาจดูเหมือนจะลอยนวล ในขณะที่คนเปราะบางยังคงไม่ได้รับความช่วยเหลือ?
ทำไมนักการเมืองมักทำ ‘เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง’ มากกว่าความต้องการของประชาชน?”
ศ.พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)
คำถามอันทรงพลังเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นมาโดย ศ.พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กลางเวทีเสวนาย่อย ‘การเสริมสร้างความรับผิดชอบผ่านการปฏิรูปหลักนิติธรรมในเอเชียแปซิฟิก’ ณ การประชุมระดับโลก World Justice Forum 2025 ซึ่ง TIJ ร่วมจัดกับ World Justice Project (WJP) เวทีฟอรั่มปีนี้จัดขึ้นที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์
นี่ไม่ใช่คำถามนามธรรม แต่คือเสียงสะท้อนของ ‘วิกฤตศรัทธาของสาธารณชน’ ที่กำลังกัดเซาะรากฐานของหลักนิติธรรมทั่วทั้งภูมิภาค และเป็นโจทย์ใหญ่ที่วงเสวนานี้พยายามถอดรหัสและหาทางออก ข้อมูลล่าสุดจาก WJP Rule of Law Index 2024 ยืนยันว่าหลักนิติธรรมทั่วโลกเสื่อมถอยลงเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน และมีถึง 57% ของประเทศทั่วโลกที่มีคะแนนลดลง
ดร.กิตติพงษ์ ย้ำว่า “โดยแก่นแท้แล้ว หลักนิติธรรมคือเรื่องของความยุติธรรม ศักดิ์ศรี และความไว้วางใจ” แต่ “หลักนิติธรรมไม่ได้ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง และความรับผิดชอบซึ่งเป็นรากฐานของความชอบธรรม จะต้องถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านศาลที่เป็นอิสระ สถาบันที่เปิดกว้าง การกำกับดูแลที่มีความหมาย และการเข้าถึงการเยียวยาที่ประชาชนสามารถไว้วางใจและเข้าถึงได้”
ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ
TIJ กับบทบาท ‘ผู้ลงมือทำ’
ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ ได้ฉายภาพให้เห็นถึงความพยายามของไทยในการขับเคลื่อนการปฏิรูปหลักนิติธรรมท่ามกลางภูมิทัศน์การเมืองที่ผันผวนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เขากล่าวว่า ในช่วงเวลานั้น “วาทกรรมหลักที่ชี้นำเรื่องการปฏิรูปหลักนิติธรรมคือ ทุกคนบอกว่าสำคัญมาก และถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่มีใครมีภาพที่ชัดเจนเลยว่าจะเริ่มต้นทำอะไรกับแนวคิดเรื่องหลักนิติธรรมนี้ดี”
TIJ จึงเห็นช่องว่างนี้ และได้นำเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) ของ WJP มาใช้เป็น ‘เข็มทิศร่วม’ ซึ่งในปี 2024 นี้ จัดให้ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 78 ของโลก ด้วยคะแนน 0.50 เต็ม 1.00 แต่ที่น่าสนใจคือคะแนนของไทยปรับตัวดีขึ้น 1.5% จากปีก่อนหน้า ดร.พิเศษอธิบายว่า “เราเห็นช่องว่างตรงนั้น และเราได้ใช้ประโยชน์จากระเบียบวิธีของดัชนีที่เข้มแข็งนี้ และพยายามเสนอว่า แทนที่เราจะเสียเวลาไปกับการถกเถียงเรื่องความหมายหรือนิยาม เรามาใช้มาตรวัดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างดัชนีหลักนิติธรรมเพื่อนำทางการพูดคุยกันดีกว่า”
ดร.ศรีรักษ์ พลิพัฒน์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก World Justice Project
ดร.ศรีรักษ์ พลิพัฒน์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ WJP ได้เล่าเบื้องหลังว่าก่อนที่จะมาจับมือกับ TIJ เคยพยายามพูดคุยกับหน่วยงานรัฐบาลไทยถึง 4 แห่ง เพื่อหาทางยกระดับคะแนนดัชนี แต่ละหน่วยงานต่างเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ส่งต่อให้เขาไปคุยกับหน่วยงานถัดไป จนกระทั่ง TIJ เป็นหน่วยงานที่ 5 และพวกเขาไม่ได้ส่งผมต่อไปที่หน่วยงานที่ 6 แต่กลับบอกว่า “มาทำให้เกิดขึ้นกันเถอะ”
จากจุดนั้น TIJ ได้กลายเป็นแกนหลักในการเชิญผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐกว่า 100 คนมาร่วมกันระดมสมอง เพื่อหาปัญหาและทางออกใน 15 ประเด็นที่รัฐบาลไทยต้องการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ดร.พิเศษ ย้ำว่า “ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบครั้งเดียวจบสำหรับ TIJ เรารู้ดีว่านี่คือเกมระยะยาว” และหัวใจสำคัญคือการทำให้เรื่องนี้เข้าถึงประชาชน “คุณไม่สามารถปล่อยให้นักกฎหมายเป็นผู้นำในการถกเถียงเรื่องนี้แต่เพียงฝ่ายเดียวได้ คุณต้องทำให้ความท้าทายของหลักนิติธรรมเป็นสิ่งที่คนธรรมดา คนเดินถนน รู้สึกเชื่อมโยงได้ และสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมด”
บทเรียนราคาแพงจากเกาหลีใต้: เมื่อผู้พิพากษาและอัยการตกอยู่ใต้อิทธิพลการเมือง
ในขณะที่ไทยกำลังแสวงหาหนทาง ผู้พิพากษา แจวู จุง จากศาลชั้นต้นจินจู ประเทศเกาหลีใต้ ได้แบ่งปันเรื่องราวที่เปรียบเสมือน ‘บทเรียนราคาแพง’ แม้ว่าเกาหลีใต้จะอยู่ในอันดับที่ 19 ของโลกด้วยคะแนนที่ค่อนข้างสูงคือ 0.74 แต่เขาได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สั่นคลอนรากฐานของหลักนิติธรรม
ผู้พิพากษาจุงเล่าย้อนไปถึงคดีอื้อฉาวสั่นคลอนวงการยุติธรรมเกาหลีใต้หลายคดีติดต่อกัน:
- คดีสินบนนักการเมือง: ประธานบริษัทใหญ่ฆ่าตัวตาย พร้อมทิ้งบันทึกการจ่ายสินบนให้นักการเมืองระดับสูง แต่สุดท้ายไม่มีใครถูกลงโทษเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ
- คดีอดีตผู้พิพากษาเรียกรับเงิน: ทนายความซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษา เรียกรับเงินจากลูกความถึง 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอ้างว่าจะนำไปวิ่งเต้นผู้พิพากษาที่กำลังทำคดี กรณีเช่นนี้ได้ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลอย่างรุนแรง
- คดี ‘ผู้พิพากษาเรนจ์โรเวอร์’: ผู้พิพากษาอาวุโสรับสินบนเป็นรถยนต์เรนจ์โรเวอร์และเงินสดจากซีอีโอบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ และสุดท้ายถูกตัดสินจำคุก 7 ปี “เป็นช่วงเวลาที่น่าอัปยศอย่างยิ่ง และผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสาธารณชนยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้” ผู้พิพากษาจุงกล่าว
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ สถานการณ์ล่าสุดที่คุกคามหลักนิติธรรมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนคือ ‘การประกาศกฎอัยการศึก’ โดยอดีตประธานาธิบดีในปี 2024 แม้จะถูกสภาโหวตยกเลิกได้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง แต่เหตุการณ์นี้ได้ปลุกความทรงจำอันเจ็บปวดของคนเกาหลีใต้ และแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบ
อินเดีย: มหาอำนาจตุลาการในภาวะวิกฤต
ผู้พิพากษามาดัน บี. โลกูร์ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาอินเดีย ได้สะท้อนภาพความท้าทายของประเทศที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน เขากล่าวว่าระบบยุติธรรมของอินเดียกำลังเผชิญ ‘ภาวะวิกฤต’ จากจำนวนคดีที่สูงจนน่าตกใจ และตำแหน่งผู้พิพากษาที่ว่างลงถึง 20% ซึ่งสถานการณ์นี้สะท้อนออกมาในคะแนนดัชนีที่ 0.50 อยู่อันดับที่ 79 ของโลก ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศไทยอย่างมาก
ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือ ‘ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ’ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นหลังจากศาลฎีกาตัดสินว่า กฎหมายที่รัฐบาลเสนอ เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการแต่งตั้งผู้พิพากษาแห่งชาตินั้น ‘ขัดต่อรัฐธรรมนูญ’ เพราะกระทบต่อความเป็นอิสระของศาล
อินเดียพยายามแก้ปัญหาด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น โครงการ e-Courts และ ฐานข้อมูลตุลาการแห่งชาติ (National Judicial Data Grid) ซึ่งเปิดเผยข้อมูลทุกคดีสู่สาธารณะ ทำให้สามารถติดตามและประเมินผลการทำงานของผู้พิพากษาแต่ละคนได้อย่างโปร่งใส ผู้พิพากษาโลกูร์ยอมรับว่าการทุจริตยังคงเป็นปัญหาใหญ่ แต่หัวใจสำคัญที่สุดคือการย้ำเตือนว่า “ความยุติธรรมต้องเป็นไปเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อผู้พิพากษาหรือรัฐบาล พลเมืองต่างหากที่ต้องเป็นศูนย์กลางของความยุติธรรม”
มุมมองจากญี่ปุ่น: การปฏิรูปต้องใช้เวลาและข้อมูล
โนโซมิ อิวามา จากหน่วยงานความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ได้นำเสนอมุมมองของหน่วยงานผู้ให้การสนับสนุนการพัฒนา โดยญี่ปุ่นเองเป็นประเทศที่มีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง ได้รับคะแนน 0.79 และอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก เธอกล่าวว่า JICA สนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายในเอเชียมานานกว่า 30 ปี โดยเน้นแนวทางที่ยึดผู้รับเป็นศูนย์กลางและเป็นการสนับสนุนในระยะยาว
เธอยกตัวอย่างการสนับสนุนเมียนมา ที่ JICA เริ่มจากการสร้างขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ก่อน แล้วจึงค่อยไปสู่การร่างกฎหมายแพ่ง ซึ่งใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จ เธอยอมรับว่า แม้ JICA จะทำงานมานาน แต่การวัดผลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Interventions) ยังเป็นจุดที่ต้องพัฒนา ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเก็บข้อมูลอย่างจริงจังในการปฏิรูปทุกระดับ
เวทีเสวนาย่อย ‘การเสริมสร้างความรับผิดชอบผ่านการปฏิรูปหลักนิติธรรมในเอเชียแปซิฟิก’
อนาคตของหลักนิติธรรมในภูมิภาค
บทสรุปจากเวทีนี้ชัดเจนว่า วิกฤตศรัทธาต่อหลักนิติธรรมเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ WJP ที่ชี้ว่าปัจจัยที่ทำให้คะแนนทั่วโลกตกต่ำลงมากที่สุดคือ การจำกัดอำนาจรัฐบาล และ การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่อ่อนแอลง การแทรกแซงทางการเมือง การทุจริต และระบบที่ไม่ตอบสนองต่อประชาชนคือ ‘ความท้าทายร่วมกัน’
การลุกขึ้นมาของภาคประชาสังคมอย่าง TIJ การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อสร้างความโปร่งใส และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่หลากหลาย คือเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้
การเดินทางเพื่อสร้างหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งยังอีกยาวไกลและต้องอาศัยการลงแรงจากทุกภาคส่วน อย่างที่ ดร. กิตติพงษ์ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า “การยืนหยัดเพื่อหลักนิติธรรมนั้นเป็นมากกว่าการปกป้องหลักการ แต่คือการกำหนดรูปแบบสังคมที่เราอยากจะอยู่ และอนาคตที่เราอยากจะทิ้งไว้เบื้องหลัง”
ภาพ: Stock Studio 4477/ Shutterstock