เส้นทางสู่การ ‘ขจัดมะเร็งปากมดลูก’ ในไทย สำเร็จแค่ไหน ความท้าทายคืออะไร? [Advertorial]
เส้นทางการขจัดมะเร็งปากมดลูกภายใต้การขับเคลื่อนขององค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งแต่ปี 2018 ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ทั่วโลกร่วมมือกันขจัดมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับที่ 4 ในผู้หญิงทั่วโลก โดยตั้งเป้าให้อัตราการเกิดโรคต่ำกว่า 4 รายต่อผู้หญิง 100,000 คน ภายในปี 2030
สมาชิก 194 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ได้ลงมติช่วยผลักดัน ให้ความมุ่งมั่นที่จะขจัดมะเร็งปากมดลูกสำเร็จ ผ่านแผนยุทธศาสตร์ระดับโลกในการเร่งขจัดมะเร็งปากมดลูก (Global Strategy to Accelerate the Elimination of Cervical Cancer) ที่จัดทำขึ้นโดย WHO ในปี 2020 ภายใต้แนวทาง 3 ประการ บนยุทธศาสตร์ 90-70-90
- 90% ของเด็กผู้หญิงได้รับวัคซีน HPV ครบ เมื่ออายุ 15 ปี
- 70% ของผู้หญิงได้รับการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่ออายุ 35 ปี และอีกครั้งเมื่ออายุ 45 ปี
- 90% ของผู้หญิงที่ผิดปกติได้รับการรักษา (90% ของผู้หญิงที่ตรวจพบความผิดปกติของปากมดลูกระยะก่อนลุกลาม และ 90% ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งระยะลุกลามต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสม)
ประเทศไทยอยู่จุดไหนของเป้าหมาย?
สำหรับประเทศไทย มะเร็งปากมดลูกพบมากเป็นอันดับ 4 รองจากมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้และไส้ตรง มะเร็งปอด ข้อมูลจากกรมการแพทย์เผยว่า มีผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 14 คน หรือ 5,219 คนต่อปี และเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 6 คน หรือ 2,238 คนต่อปี
สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV (Human papillomavirus) โดยเฉพาะสายพันธุ์ HPV 16 และ HPV 18 ที่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกถึงร้อยละ 70 ทั้งนี้ เชื้อไวรัสสามารถก่อให้เกิดโรคได้ในหลายอวัยวะและมักเข้าสู่ร่างกายผ่านการสัมผัสขณะมีเพศสัมพันธ์ การร่วมเพศทางปาก ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก
การติดเชื้อไวรัสก่อให้เกิดความผิดปกติของปากมดลูก หากไม่มีการตรวจคัดกรองและได้รับการรักษาที่เหมาะสม ความผิดปกติที่ปากมดลูกนั้นอาจมีการดำเนินของโรคต่อจนกลายเป็นมะเร็ง
แม้ว่าอัตราการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทยจะมีแนวโน้มลดลง แต่อัตราการเสียชีวิตยังอยู่ในระดับสูง
ที่ผ่านมา กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค และกรมอนามัย ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ลงนาม MOU จัดทำโครงการ ‘กำจัดมะเร็งปากมดลูก’ เพื่อแสดงเจตจำนงร่วมกันในการขจัดโรคมะเร็งปากมดลูกของประเทศไทย ผ่านมาตรการสำคัญ ได้แก่ 1.) การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV 2.) การตรวจคัดกรองและการรักษารอยโรคก่อนเป็นมะเร็ง และ 3.) การดูแลผู้หญิงที่มีผลตรวจคัดกรองปากมดลูกผิดปกติ
ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV
วัคซีน HPV ถูกนำมาใช้ครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาในปี 2006 จนถึงปัจจุบัน มีการฉีดไปแล้วทั่วโลกกว่า 270 ล้านโดส มีงานวิจัยมากมายพิสูจน์ให้เห็นถึงความปลอดภัยของวัคซีน ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ และความสำคัญของการฉีดให้กับเด็กอายุ 9-13 ปี ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์
ปี 2012 คณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (ACIP) ของไทยได้บรรจุวัคซีนนี้เข้าสู่โครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งชาติ (EPI) และเริ่มโครงการนำร่องฉีดวัคซีน HPV โดยมุ่งเป้าหมายไปที่เด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ในปี 2014
โครงการดังกล่าว มีอัตราการยอมรับสูงกว่า 90% และเมื่อมองถึงความคุ้มค่าระยะยาวในการลดภาระจำนวนผู้ป่วย ลดอัตราการเสียชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค จึงมีการบรรจุวัคซีนป้องกัน HPV เข้าสู่โครงการวัคซีนแห่งชาติ โดยให้วัคซีนแบบสองสายพันธุ์ (bivalent) หรือแบบสี่สายพันธุ์ (quadrivalent) แก่เด็กหญิงชั้น ป.5 (อายุ 11–12 ปี) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งนับเป็นความสำเร็จก้าวแรก
ต่อมาแม้ว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนวัคซีนในระดับโลกช่วงการระบาดของโควิดช่วงปี 2019-2021 แต่การเกิดขึ้นของแคมเปญ ‘Quick Win’ โดยกระทรวงสาธารณสุขที่จับมือกับกระทรวงศึกษาธิการ ในปี 2023 กลายเป็นตัวเร่งให้เกิดฉีดวัคซีน HPV เดินหน้าอีกครั้งและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายคือวัคซีน 1 ล้านโดส ภายใน 100 วัน ครอบคลุมการฉีดวัคซีนในเด็กหญิงอายุ 11-20 ปี สำหรับเข็มแรก และวัคซีนเข็มชดเชยแก่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการขาดวัคซีน โดยครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ ป.5 ถึงระดับมหาวิทยาลัยปีที่ 2
อีกทั้งการเปิดตัวโครงการสุขภาพโรงเรียนอย่างเข้มข้นในหลายโรงเรียนทำให้สามารถฉีดวัคซีน HPV ได้ถึง 1.67 ล้านโดสภายในเดือนเมษายน 2024 ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการฉีดเข็มแรกถึง 1.4 ล้านโดส ส่งผลให้ครอบคลุมการฉีดวัคซีน HPV อย่างน้อย 1 โดสในเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี สูงถึง 80% ในปี 2023
การตรวจคัดกรองและการรักษารอยโรคก่อนเป็นมะเร็ง
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกแบบมาตรฐานอายุในประเทศไทยลดลงจาก 24.7 เหลือ 10.3 ต่อประชากรหญิง 100,000 คน จากการดำเนินโครงการคัดกรองระดับประเทศ (national screening) อย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่ปี 1985 ประเทศไทยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจคัดกรองตามโอกาสของแต่ละบุคคล (opportunistic cytology-based screening) จนกระทั่งปี 1999-2002 ได้เปลี่ยนมาตรวจคัดกรองด้วยเซลล์วิทยาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะมีการจัดโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแห่งชาติและแนวทางที่เกี่ยวข้องระหว่างในปี 2002-2004
ปีต่อมา (2005) โครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกระดับประเทศได้ผนวกรวม Pap smear และการตรวจด้วยน้ำส้มสายชู (VIA) โดยให้บริการภายใต้สิทธิประโยชน์ตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ผู้หญิงไทยอายุ 35–60 ปี ตรวจคัดกรองทุก 5 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โครงการนี้ได้ดำเนินการเป็นระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 (ปี 2005-2009):มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิง 4,030,833 คน ผลการดำเนินงานคัดกรองครอบคลุม 77.5% ของเป้าหมาย
- ระยะที่ 2 (ปี 2010 – 2014):เป้าหมาย 9,577,840 คน ดำเนินการครอบคลุม 54.99% แต่ข้อมูลการติดตามผลยังมีข้อจำกัด จึงมีผู้หญิงที่มีผลคัดกรองผิดปกติกลับมาติดตามผลน้อยกว่า 10%
- ระยะที่ 3 (ปี 2015- 2019):เป้าหมาย 10,355,152 คน ดำเนินการครอบคลุม 57.65% ได้มีการปรับปรุงระบบการติดตามผลโดยเชื่อมโยงข้อมูลการตรวจคัดกรองและการรักษากับเลขประจำตัวประชาชน
- ระยะที่ 4 (ปี 2020 – 2024):เป้าหมาย 9,141,488 คน ดำเนินการครอบคลุม 83.39% ระยะนี้ได้เปลี่ยนวิธีการตรวจคัดกรองจากวิธีการตรวจด้วยเซลล์วิทยา (Pap smear) เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส HPV โดยตรง (HPV testing) ซึ่งทำให้ความไวในการตรวจคัดกรองดีกว่า สอดคล้องไปกับคำแนะนำจาก WHO ในปี 2021 ที่ให้ใช้การตรวจ HPV
การเปลี่ยนวิธีการตรวจคัดกรองจาก Pap smear มาเป็นการตรวจ HPV ในระยะที่ 4 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และยังสอดคล้องไปกับผลการศึกษาที่ทำในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดอุบลราชธานีในปี 2014-2015 พบว่า การตรวจ HPV มีประสิทธิภาพสูงกว่าการตรวจ Pap smear อย่างมีนัยสำคัญ
ตุลาคมปี 2020 ประเทศไทย เปิดตัวโครงการ ‘Cervical Cancer Screening 2020’ นำการตรวจ HPV มาใช้เป็นการตรวจคัดกรองหลัก พร้อมกับการตรวจระบุสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 สำหรับผู้หญิงไทยอายุ 30–60 ปี ทุก 5 ปี ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำของ WHO ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ประกาศเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการในปี 2023
การดูแลผู้หญิงที่มีผลตรวจคัดกรองปากมดลูกผิดปกติ
การดูแลอย่างไร้รอยต่อผ่านการวางแผนที่ครอบคลุมและเป็นระบบรอบด้าน ภายใต้ความร่วมมือของเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษามะเร็งอยู่ทั่วประเทศ ทำให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา จนถึงการติดตามผลได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปราการด่านสุดท้ายในการขจัดมะเร็งมดลูกให้หมดไป
โดย สมาคมมะเร็งนรีเวชไทย (TGCS) ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย (RTCOG) และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (NCI) ได้จัดทำ “แนวทางการป้องกันและรักษามะเร็งปากมดลูก” พ.ศ.2567 เพื่อเป็นหลักปฏิบัติสำหรับการตรวจและจัดการผลตรวจคัดกรองที่ผิดปกติ รวมถึงแนวทางการรักษารอยโรคก่อนเป็นมะเร็งและมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม
ระยะแรกจะโฟกัสไปที่การติดตามผลตรวจเซลล์วิทยา (Cytology) ร่วมกับผล HPV ที่ผิดปกติ แต่หลังจากใช้การตรวจ HPV เป็นวิธีหลัก แนวทางการติดตามก็ได้เปลี่ยนไปตามระดับความเสี่ยงของเชื้อ HPV และตรวจแยกแยะต่อด้วย Cytology ตามมา เพื่อให้มีความแม่นยำและเป็นระบบมากขึ้นในการจัดการกลุ่มเสี่ยง
หากตรวจพบเชื้อ HPV 16 หรือ 18 จะต้องตรวจวินิจฉัยด้วยการส่องกล้อง และการตัดชิ้นเนื้อปากมดลูก แต่ในกรณีที่ตรวจพบ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูงชนิดอื่นๆ จะตรวจต่อด้วย Cytology เพื่อคัดแยกว่าจะต้องส่องกล้องต่อหรือไม่
นอกจากนี้ยังสามารถตรวจคัดกรองด้วยการย้อมสีคู่ p16/Ki-67 หากพบความผิดปกติจะถูกส่งต่อไปส่องกล้อง หรือหากชิ้นเนื้อพบ CIN2 หรือรุนแรงกว่า จะรักษาด้วยการจี้ทำลายรอยโรค (ablation) หรือผ่าตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวย (conization) ตามความเหมาะสม
ปัจจุบัน โรงพยาบาลที่มีคลินิกส่องกล้องมีจำนวนเพิ่มขึ้นครอบคลุมครบทั้ง 13 เขตสุขภาพ ทั้งในโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังมีโครงการ ‘Cancer Anywhere’ ให้ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทุกแห่งในระบบ สามารถเลือกโรงพยาบาลใกล้บ้านหรือสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยไม่ต้องรอใบส่งตัวจากหน่วยบริการปฐมภูมิ
นอกจากจะเพิ่มการเข้าถึงบริการ ยังช่วยลดระยะเวลารอรับการรักษา โดยมีการจัดบริการเพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถได้รับการผ่าตัดภายใน 4 สัปดาห์และได้รับเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาภายใน 6 สัปดาห์
การดำเนินงานต่างๆ ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณเพื่อให้ครอบคลุมค่ายา ค่าตรวจวินิจฉัย ค่ารักษา ต่างๆ อีกทั้งยังมีการอบรมบุคลากรสหวิชาชีพเพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างครอบคลุม ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม
ความท้าทายในการขจัดมะเร็งปากมดลูกของไทย
แม้มาตรการข้างต้นจะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีความท้าทายในหลายด้านที่เป็นอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็น ความล่าช้าในการผลิตและกระจายวัคซีนป้องกัน HPV ปัญหาของความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงในกลุ่มเปราะบาง ระบบติดตามผลที่ยังไม่บูรณาการในการติดตามผู้ที่มีผลตรวจผิดปกติ ทำให้ผู้หญิงบางส่วนพลาดโอกาสในการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ไปจนถึงความท้าทายในมุมของประชาชนเอง โดยเฉพาะการขาดเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน HPV ในเด็กหญิงและเด็กชาย และการตรวจคัดกรอง
บรรลุเป้า WHO ขจัดโรคมะเร็งปากมดลูกภายในปี ค.ศ. 2030 อาจเป็นจริงได้
จะเห็นว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยวางแนวทางยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย 90-70-90 โดยเน้นการดำเนินงานทั้งในเชิงนโยบาย การบริการ และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่
- เปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย:รับรองการฉีดวัคซีน HPV แบบเข็มเดียวในเด็กหญิงวัยเรียนเป็นมาตรฐาน พร้อมแผนการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมเยาวชนนอกระบบโรงเรียน
- กระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง:ใช้ระบบคลินิกโรงเรียนและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในชุมชนห่างไกล เพื่อให้บริการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มเสี่ยงและผู้ที่เคยพลาดโอกาส
- ส่งเสริมการตรวจคัดกรองด้วยตนเอง:ใช้ชุดตรวจ HPV ด้วยตนเอง (self-sampling) เพื่อเพิ่มอัตราการตรวจคัดกรอง ในกลุ่มผู้หญิงที่มีความอายและอุปสรรคด้านวัฒนธรรมที่ทำให้ไม่เข้ามารับการตรวจในสถานบริการ ทั้งนี้โดยมีการเชื่อมโยงกับระบบออนไลน์ของรัฐ เช่น แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
- เพิ่มประสิทธิภาพของระบบข้อมูล:พัฒนาระบบบันทึกผลการตรวจและการติดตามผลการรักษาให้เชื่อมโยงกันระหว่างสถานพยาบาลต่างๆ ผ่านระบบฐานข้อมูลกลาง เช่น ทะเบียนมะเร็ง (Cancer Registry)
- เสริมทักษะบุคลากร:อบรมพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฐมภูมิให้สามารถให้คำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกัน HPV การตรวจคัดกรอง วิธีการเก็บตัวอย่างตรวจ HPV ทั้งการเก็บโดยบุคลากรทางสาธารณสุขและการเก็บด้วยตนเอง และการดูแลติดตามผู้ที่ตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจคัดกรอง
นอกจากนี้ การมีนโยบายที่ชัดเจนและได้รับการสนับสนุนจากระดับผู้นำและองค์กรทางวิชาการ การตรวจคัดกรองด้วยการตรวจ HPV เป็นวิธีหลัก การเกิดขึ้นของ โครงการ Cancer Anywhere ทำให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอใบส่งตัว และความสำเร็จจากแคมเปญ Quick Win จนสามารถเพิ่มอัตราการเข้าถึงวัคซีนป้องกัน HPV ได้อย่างรวดเร็วล้วนเป็นแนวโน้มที่ดีที่สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการควบคุมและป้องกันมะเร็งปากมดลูก
กุญแจสำคัญคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรทางวิชาการ และประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขของประชาชนที่อยู่ห่างไกล การสนับสนุนด้านงบประมาณ และการพัฒนาระบบการเก็บข้อมูลที่เชื่อมโยงกัน
หากทุกภาคส่วนช่วยกันรักษาความมุ่งมั่นและส่งแรงสนับสนุนต่อเนื่อง การบรรลุเป้าหมายของ WHO ในการขจัดโรคมะเร็งปากมดลูกภายในปี ค.ศ. 2030 ในประเทศไทยอาจไม่ไกลเกินเอื้อม และอาจได้เป็นประเทศแรกๆ ในเอเชียที่สามารถขจัดมะเร็งปากมดลูกได้สำเร็จ
อ้างอิง
Cancer in Thailand Vol. XI, 2019–2021. Bangkok: National Cancer Institute of Thailand; 2025. https://www.hfocus.org/content/2024/01/29624