กองทัพส่วนตัวที่เคยผ่านการฝึกจาก ‘กองทัพไทย’ จากทีมอารักขาผู้นำเขมรสู่กองกำลังติดอาวุธ
(29 ก.ค. 68) ท่ามกลางสถานการณ์การปะทะที่รุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ชื่อของหน่วยทหารระดับสูงที่ถูกส่งเข้ามาในแนวรบอย่าง กองบัญชาการองครักษ์ หรือ BHQ (Bodyguard Headquarters) ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ ภายหลังจากมีการตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และก่อนถึงกำหนดเส้นตายเวลาเที่ยงคืน มีรายงานว่า กองกำลัง BHQ ได้ออกปฏิบัติการเป็นครั้งแรกในพื้นที่ปราสาทตาควาย เพื่อช่วงชิงพื้นที่กับกองกำลังรบพิเศษของกองทัพไทย
ย้อนไปทำความรู้จักหน่วยทหารนี้กันอีกครั้ง ซึ่งหน่วย BHQ นั้นไม่ใช่เพียงหน่วยอารักขาบุคคลสำคัญธรรมดา แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นเสมือน “กองทัพส่วนตัว” ที่มีความภักดีต่อสมเด็จฯ ฮุน เซน และครอบครัวโดยตรง และมีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับการเมืองกัมพูชาอย่างแยกไม่ออก
ตามโครงสร้างอย่างเป็นทางการ BHQ คือหน่วยรักษาความปลอดภัยระดับสูงที่สังกัดกองทัพกัมพูชา มีภารกิจหลักในการรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีและบุคคลสำคัญของรัฐบาล แต่ในทางปฏิบัติ หน่วยนี้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยสมเด็จฯ ฮุน เซน และมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเขาเป็นการส่วนตัวมาโดยตลอด ทำให้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการค้ำจุนอำนาจทางการเมืองของตระกูลฮุน เซน
หน่วย BHQ อยู่ภายใต้การบัญชาการของ พลเอก ฮิง บุนเฮียง ซึ่งถือเป็นนายทหารมือขวาที่ใกล้ชิดและได้รับความไว้วางใจจากสมเด็จฯ ฮุน เซน มากที่สุด ทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์และควบคุมสถานการณ์ในเมืองเป็นหลัก ขณะที่พื้นที่ชายแดนจะอยู่ในความดูแลของ พลเอก สรัย ดึ๊ก ซึ่งเปรียบเสมือนมือซ้าย ทั้งสองคนนี้คือนายทหารคนสำคัญที่ช่วยค้ำจุนอำนาจให้กับระบอบฮุน เซน มาอย่างยาวนาน
BHQ มีจุดเริ่มต้นมาจาก “กองพลน้อยที่ 70” ซึ่งสมเด็จฯ ฮุน เซน ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2532–2533 เพื่อป้องกันการรัฐประหารในช่วงที่การเมืองภายในยังไม่มั่นคง โดยในช่วงแรก กำลังพลบางส่วนเคยถูกส่งมาฝึกกับศูนย์รักษาความปลอดภัยของกองบัญชาการทหารสูงสุดของไทยด้วย กองพลน้อยที่ 70 ได้แสดงแสนยานุภาพครั้งสำคัญในการเป็นกำลังหลักก่อ รัฐประหารในปี พ.ศ. 2540 เพื่อยึดอำนาจจากสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ และทำให้สมเด็จฯ ฮุน เซน ก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างสมบูรณ์
ช่วงแรกของการก่อตั้งหน่วยอารักขานี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้ส่งกำลังพลของตนเองมาเข้ารับการฝึกฝนด้านการอารักขาบุคคลสำคัญ (VIP Protection) กับ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (สรพ.) ของกองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งเกิดขึ้นในยุคที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังดีอยู่ โดยเฉพาะในสมัยที่ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและมีความสัมพันธ์อันดีกับสมเด็จฯ ฮุน เซน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้ออกพระราชกฤษฎีกาย่อยจัดตั้ง “กองบัญชาการองครักษ์” (BHQ) ขึ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการยกระดับและเปลี่ยนผ่านกองกำลังที่ภักดีที่สุดนี้ให้อยู่ภายใต้การดูแลของ สมเด็จฯ ฮุน มาเนต บุตรชายของเขานั่นเอง
นอกจากภารกิจอารักขาแล้ว BHQ ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล โดยมักจะถูกส่งไปทั้งในและนอกเครื่องแบบเพื่อควบคุมสถานการณ์และปราบปรามการประท้วงของฝ่ายค้านในช่วงทศวรรษ 2010 และมักจะมีการแสดงแสนยานุภาพด้วยยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยในกรุงพนมเปญเพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ
แม้จะเป็นหน่วยที่ถูกพัฒนาให้มีความทันสมัยที่สุด แต่ภารกิจหลัก และประสบการณ์ส่วนใหญ่ของ BHQ คือ การรบในเมือง การอารักขาบุคคลสำคัญ และการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง ทำให้หน่วยนี้อาจไม่มีความชำนาญในภูมิประเทศและการรบตามแนวชายแดนมากเท่ากับหน่วยรบพิเศษเฉพาะทางอย่าง “หน่วย 911” ซึ่งเป็นหน่วยที่ฝ่ายไทยให้ความสำคัญและจับตามองมากกว่า
อย่างไรก็ตาม BHQ ก็มีชื่อเสียงที่น่าเกรงขามในประเทศกัมพูชา โดยถูกกล่าวขานว่ามีอิทธิพลสูงและอาจมี “ใบอนุญาตสังหาร” (License to Kill) เพื่อจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองทั้งในและนอกประเทศ
ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในครั้งล่าสุดนี้ BHQ ได้เข้ามามีบทบาทโดยตรง โดยมีรายงานว่าสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้ส่งกองกำลังหน่วยนี้เข้ามาในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย และล่าสุดใน วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 มีรายงานการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างหน่วยรบพิเศษของไทยกับกำลังพลของ BHQ บริเวณปราสาทตาควาย ก่อนที่ข้อตกลงหยุดยิงจะมีผลในเวลาเที่ยงคืน