โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘ภูมิธรรม’สั่งทุกเหล่าทัพตรึงกำลัง-รักษาอธิปไตย – ครม.จี้ ก.พ.วางแนวทางสกัด จนท.รัฐนำ EV ส่วนตัวชาร์จไฟหลวง

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

  • ‘ภูมิธรรม’ฟ้องอาเซียน-สหรัฐ-จีน ‘กัมพูชา’ ไม่จริงใจ-ละเมิดหยุดยิง
  • สั่งทุกเหล่าทัพตรึงกำลัง รักษาอธิปไตย
  • จี้ทุกหน่วยเร่งเยียวยาผู้อพยพตามชายแดน – ประสบภัยน้ำท่วม
  • มติ ครม.ผ่านร่าง พ.ร.บ.หนุน ปชช.- ภาคธุรกิจติดตั้ง ‘โซลาร์รูฟท็อป’
  • รับทราบแนวทางป้องกัน จนท.รัฐนำรถ EV ส่วนตัว ชาร์จไฟหลวง
  • เคาะค่าธรรมเนียม – ใบอนุญาตเก็บ – กำจัด ‘ขยะพิษ’

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายภูมิธรรม พร้อมด้วยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล และได้มอบหมายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

นายภูมิธรรม กล่าวว่า รัฐบาลไทยมีความจริงใจ และใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ที่จะยุติสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเร็วที่สุด การเจรจาจนมีข้อตกลงหยุดยิงของทั้ง 2 ฝ่าย โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน และยึดถืออำนาจอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และทหารของชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นความหวังร่วมกันของประชาคมโลกที่จะคืนสันติภาพแก่ประชาชาชนทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยเคารพต่อผลการหารือที่เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อหยุดยิงตามที่ได้แถลงร่วมกัน

ฟ้องอาเซียน-สหรัฐ-จีน ‘กัมพูชา’ ไม่จริงใจ-ละเมิดหยุดยิง

แต่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า กองกำลังกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยมีการใช้อาวุธยิงต่อกำลังฝ่ายไทยในหลายพื้นที่ ทำให้ทหารฝ่ายไทยต้องตอบโต้อย่างเด็ดขาด และเหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้ประท้วงไปยังประธานอาเซียน สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นสักขีพยานในการเจรจา เพื่อให้ได้รับทราบว่า การละเมิดข้อตกลงนี้เป็นเหตุจากการไม่ซื่อตรง และไม่จริงใจของกัมพูชาอย่างชัดเจน

สั่งทุกเหล่าทัพตรึงกำลัง – รักษาอธิปไตย

สถานการณ์ในขณะนี้ รัฐบาลมอบหมายให้ทุกเหล่าทัพตรึงกำลัง เพื่อรักษาอธิปไตย และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่ยินยอมให้อธิปไตยไทยถูกล่วงล้ำไม่ว่ากรณีใด ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงสายวันนี้ ได้มีการพูดคุยกันระหว่างแม่ทัพภาคของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อหารือแนวทางในการคลี่คลายปัญหา ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการเจรจาในระดับสูงขึ้นต่อไป ตามที่ได้ตกลงกันไว้ เพื่อยุติความรุนแรง ไม่ให้เกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้นทั้งพลเรือน และกำลังทหาร เราเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามหลักสากล ยึดหลักมนุษยธรรม และสิทธิมนุษยชนอย่างจริงใจของรัฐบาลไทย จะปรากฏชัดต่อนานาประเทศ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในขั้นตอนต่าง ๆ หลังการหยุดยิงบรรลุผลต่อไป

ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามสถานการณ์จากช่องทางที่เป็นทางการ โดยรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายแดน โดยเฉพาะการอพยพกลับภูมิลำเนา ขอให้รอผลการยืนยันจากรัฐบาลต่อไป โดยรัฐบาลขอเน้นย้ำว่าได้ให้หน่วยงานในพื้นที่ อำนวยความสะดวกของพี่น้องประชาชนในศูนย์อพยพอย่างเต็มที่

รัฐบาลขอสดุดีวีรกรรมของทหารกล้าที่อุทิศชีวิต และเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ และคุ้มครองประชาชนให้ได้รับความปลอดภัย

สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชน ไม่ตกเป็นเหยื่อเกมข่าวลวง หรือ เกมการเมืองของกัมพูชา เพื่อสร้างความแตกแยกภายในประเทศจากฝ่ายตรงข้าม ทีมประเทศไทยขอยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ. ทกระทรวง) กล่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวรายงานสถานการณ์ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเช้าวันนี้ ว่า การประชุม ครม. ตามมาตรา 8 ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่อง และการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ตามที่ ครม.ทุกท่านได้รับทราบสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ต่อเนื่อง ตั้งแต่ในห้วงเดือนพฤษภาคม 2568 จนกระทั่งฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มปฏิบัติการทางทหารเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ในพื้นที่ชายแดนซึ่งส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของพลเรือนและทหาร

จี้ทุกหน่วยเยียวยาน้ำท่วม – ช่วยผู้อพยพตามชายแดน

นายภูมิธรรมจึงได้สั่งการให้ สมช. ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ ศบ.ทกระทรวง เพื่อรับทราบและประเมินสถานการณ์ความมั่นคง ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบมาตรการการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และข้อพิพาทตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย พร้อมทั้งเร่งช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยได้เน้นย้ำประเด็นสำคัญ ดังนี้

  • ให้กองทัพปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนอย่างเต็มที่
  • ยืนยัน ให้กระทรวงการต่างประเทศเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศไทย และลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลง รวมทั้งประท้วงและประณามการกระทำของกัมพูชาที่ละเมิดอธิปไตยของไทยและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
  • ให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การดูแลประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา
  • ให้กระทรวงการคลัง พิจารณามาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในครั้งนี้
  • หากสถานการณ์บริเวณชายแดน มีการยกระดับสู่การใช้กำลังทหารรุนแรง จะเรียกประชุม รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นการประชุม ครม. ตาม มาตรา8 ของพระราชกฤษฎีกาฯ

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมว่า ในการให้ความช่วยเหลือทั้งภัยน้ำท่วม และ ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ให้คณะรัฐมนตรีให้การช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน โดยขอให้ ครม. ที่ว่างเว้นจากภารกิจประจำ ลงพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละกระทรวงที่อยู่ในพื้นที่ ทั้งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะกันบริเวณชายแดน และพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมโดยขอให้ไม่กระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่หน้างาน

ทั้งนี้ ในส่วนของการช่วยเหลือผู้อพยพ และผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม ขอให้ กระทรวงมหาดไทย เร่งจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เครื่องนอนเครื่องนุ่งห่มให้เพียงพอ ในส่วนของการฟื้นฟูสภาพบ้านเรือนจากน้ำท่วมขอให้จัดหาน้ำประปาที่สะอาด การบริหารจัดการขยะที่เร่งด่วน ดังนี้

  • ให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ เร่งจัดหาเครื่องใช้จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ เช่น รถเข็น ให้มีความเพียงพอและสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายผู้อพยพหรือผู้ป่วย
  • ให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหาแพทย์ให้เพียงพอต่อการดูแลผู้ป่วย และแยกผู้ป่วยที่มีการแพร่เชื้อออกจากบุคคลอื่นทั่วไป

มติ ครม.มีดังนี้

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

ผ่านร่าง พ.ร.บ.หนุน ปชช.- ภาคธุรกิจติดตั้ง ‘โซลาร์รูฟท็อป’

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการแจ้งและกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) สำหรับใช้เองในที่อยู่อาศัยและในสถานประกอบการ โดยมีการกำกับดูแลกระบวนการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและวิศวกรรม รวมทั้งการจัดการซากอุปกรณ์หลังหมดอายุการใช้งานเพื่อไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชน และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศ ตลอดจนเป็นการลดการพึ่งพาพลังงานการนำเข้าจากต่างประเทศ

ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านพลังงาน โดยราคาพลังงานจะมีความผันผวนตามสถานการณ์พลังงานโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ทำให้ประชาชนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันต้นทุนของเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทางเลือกที่มีศักยภาพสูง และมีแนวโน้มต้นทุนต่อหน่วยการผลิตไฟฟ้าลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ตลอดทั้งปี

อย่างไรก็ตาม การติดตั้ง Solar Rooftop ยังมีข้อจำกัดซึ่งไม่เอื้อต่อการส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างเป็นระบบ โดยประชาชนและภาคธุรกิจประสบปัญหาความล่าช้าในกระบวนการขอรับใบอนุญาตหรือการจดแจ้งยกเว้นเกี่ยวกับการติดตั้งเพื่อใช้เองจากหน่วยงานของรัฐต่างๆ นอกจากนี้กระบวนการในการพิจารณาการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าดังกล่าวยังคงต้องอาศัยการประสานงานจากหน่วยงานภาครัฐหลายฝ่าย ทำให้เกิดภาระด้านเอกสาร ด้านเวลา และค่าใช้จ่าย อันมาจากขั้นตอนและการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนกันจากปัญหาดังกล่าว

ปัจจุบันกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศมีประมาณ 55,707 เมกะวัตต์ โดยเป็นความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิง และพลังงานทุกประเภทเฉลี่ยประมาณ 25,000 เมกะวัตต์ (รวมถึงการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์) โดยพระราชบัญญัติไม่กระทบต่องบประมาณและการสูญเสียรายได้ภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน เพื่อนำมาจำหน่ายให้ประชาชนเป็นปริมาณที่สูงกว่าการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายเอง ทำให้ภาระค่าค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ คือค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงงานเอกชน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยผลิตไฟฟ้าเองเป็นสัดส่วนร้อยละ 29 (16,261 เมกะวัตต์) เท่านั้น ส่วนที่เหลือร้อยละ 71 เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศและจ้างเอกชนผลิต)

ดังนั้น ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายจึงเป็นของโรงไฟฟ้าเอกชน และผู้ที่เสียสูญเสียรายได้เป็นหลักจึงเป็นโรงไฟฟ้าเอกชนมิใช่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ อันจะเป็นประโยชน์กับทั้งรัฐและประชาชน เป็นการลดการขาดดุลการค้าระหว่างประเทศ เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งพลังงานราคาถูก ลดภาระค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนลดการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีต้นทุนสูง และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประชาชน สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ทางไกล อันเป็นนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนในการขออนุญาต หรือ การจดแจ้งยกเว้นเกี่ยวกับการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงพลังงาน และความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ประชาชน และภาคธุรกิจแบกรับภาระด้านค่าใช้จ่ายอันเป็นการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศไทยไปสู่พลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังคงเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการลด และปรับโครงสร้างราคาพลังงานและนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) พน. จึงได้ยกร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ…. ขึ้น โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

  • กำหนดให้มีการแจ้งการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อใช้เองในที่อยู่อาศัย หรือ สถานประกอบกิจการต่ออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยไม่ต้องขออนุญาตการติดตั้งจากหน่วยงานของรัฐอีก และได้กำหนดหลักเกณฑ์การติดตั้งอุปกรณ์ Solar rooftop
  • กำกับให้มีการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จาก Solar Rooftop เฉพาะในสถานที่ติดตั้งเท่านั้น
  • กำหนดหลักเกณฑ์การติดตามและการจัดการซากอุปกรณ์ และกำหนดหลักเกณฑ์การห้ามถอดแยกชิ้นส่วนซากอุปกรณ์ของ Solar Rooftop หลังหมดอายุการใช้งานแล้ว โดยให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน
  • กำหนดหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงาน เพื่อตรวจสอบ และติดตามการติดตั้งอุปกรณ์ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้
  • กำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง ร่าง พ.ร.บ.ฯ

ทั้งนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเห็นชอบ/ไม่ขัดข้องต่อหลักการ โดยมีข้อสังเกตและมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น

  • กระทรวงการคลังเห็นว่า ภาครัฐต้องมีการกำหนดกลไกและแนวทางที่ชัดเจนในการให้รัฐวิสาหกิจกลุ่มไฟฟ้าเข้าถึงข้อมูลที่เป็นปัจจุบันของการติดตั้ง Solar Rooftop และควรกำหนดให้มีกลไกที่สร้างความมั่นใจได้ว่าการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ติดตั้งกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าเป็นไปอย่างถูกต้องและมีความปลอดภัยตามมาตรฐาน
  • กระทรวงมหาดไทยเห็นว่า การกำหนดให้การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยไม่อยู่ภายใต้บังคับว่าด้วยการผังเมือง อาจทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ตามผังเมืองไม่เป็นไปตามความมุ่งหมายของการวางและจัดทำผังเมือง
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า ควรมีการทบทวนบทลงโทษให้สอดคล้องกันระหว่างระดับความร้ายแรงของการกระทำผิดกับบทลงโทษที่ใช้กับมาตรการต่างๆ และควรเพิ่มเติมหลักการและกลไกในการบริหารซาก Solar Rooftop ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง

ครม. จึงมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่ง สคกระทรวง ตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย

เคาะค่าธรรมเนียม – ใบอนุญาต เก็บ – กำจัด ‘ขยะพิษ’

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูล หรือ มูลฝอย (ฉบับที่..) พ.ศ. … ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เสนอ โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นตัวกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูล หรือ มูลฝอย ที่เป็นพิษและอันตรายต่อชุมชน เนื่องจาก กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูล หรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 ได้กำหนดเพดานอัตราค่าธรรมเนียมขั้นสูง เกี่ยวกับการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูล หรือมูลฝอยทั่วไปและติดเชื้อ (เก็บ ขน และกำจัด) ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้มีการการกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ที่เป็นพิษและอันตรายต่อชุมชนไว้

กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงได้ทำการเสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวฯ เพื่อกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูล หรือ มูลฝอย ที่เป็นพิษและอันตรายต่อชุมชน โดยกำหนดค่าธรรมเนียมในกรณี เก็บ ขน ไม่เกินฉบับละ 10,000 บาท และกรณีการรับกำจัดไม่เกิน 15,000 บาท พร้อมกำหนดค่าธรรมเนียมการเก็บ ขน และกำจัดขยะมูลฝอยที่เป็นพิษ หรือ อันตรายจากชุมชน เป็นรายเดือน ที่มีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม ไม่เกินเดือนละ 30 บาท ส่วนในกรณีที่มีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัม โดยคิดเป็นหน่วยทุกๆ 2 กิโลกรัม ไม่เกินหน่วยละ 30 บาท ส่วนในกรณี การเก็บ ขน กำจัด เป็นครั้งคราว ที่น้ำหนักไม่เกิน 100 กิโลกรัม ให้คิดเป็นหน่วยละไม่เป็น 100 กิโลกรัม ในอัตราใหม่เกินหน่วยละ 2,000 บาท

รับทราบแนวทางป้องกัน จนท.รัฐนำรถ EV ส่วนตัว ชาร์จไฟหลวง

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการ ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ และการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม กรณีเจ้าพนักงานของรัฐนำรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัวไปอัดประจุไฟฟ้าของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐ โดยมิได้รับอนุญาต

เดิม ครม.เคยมีมติเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ฯ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ โดยเห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ หรือ แนวทางการควบคุม และแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดเกี่ยวกับการนำรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัวมาประจุไฟฟ้าในสถานที่ทำการ เพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ และป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สำนักงาน ก.พ. รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้ สำนักงาน ก.พ. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอ ครม. ต่อไป (ครบกำหนด 30 วัน เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2568 และจะครบกำหนด 90 วัน ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 วันที่ 5 ส.ค. 2568)

ในครั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติ ครม. ดังกล่าวว่า สำนักงาน ก.พ. ได้ดำเนินการศึกษากฎระเบียบเกี่ยวกับจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกับการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการที่มีแนวทางเกี่ยวกับการนำรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัวไปอัดประจุไฟฟ้า การใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุ เพื่อติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้า/สถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้าของส่วนราชการ แต่อาจยังไม่ครอบคลุมหน่วยงานของรัฐประเภทอื่น สำนักงาน ก.พ. จึงมีหนังสือแจ้งไปยังองค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ” และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยในขณะนี้ สำนักงาน ก.พ. อยู่ระหว่างรวมความเห็น

ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว สำนักงาน ก.พ. จะวิเคราะห์ผลการดำเนินการเพื่อนำเสนอ ครม. ต่อไป

ข้อเสนอแนะ

  • รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อเสนอแนะ เพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ฯ ตามที่ สำนักงาน ก.พ. เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป และให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 (เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ฯ) โดยให้ สำนักงาน ก.พ. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วนำเสนอ ครม. ภายใน 2 สัปดาห์

เพิ่มวงเงินก่อสร้างตึกกรมชลฯ 11 ชั้น เป็น 334 ล้าน

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ให้เพิ่มกรอบวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับรายการก่อสร้างอาคารสำนักงานกรมชลประทานสามเสน สูง 11 ชั้น พื้นที่ไม่น้อยกว่า 8,800 ตารางเมตร แขวงถนนนครไชยศรี เขตตุสิต กรุงเทพมหานคร (อาคารสำนักงานกรมชลประทานสามเสนฯ) จากวงเงิน 262.50 ล้านบาท เป็นวงเงิน 334.28 ล้านบาท โดยให้กรมชลประทานใช้วงเงินราคากลาง จำนวน 299.72 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินในการประกวดราคาจ้างก่อสร้าง และให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับรายการดังกล่าว จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2569 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2570

โดยเนื่องจากกรมชลประทานได้บอกเลิกสัญญาเดิมกับผู้รับจ้างที่ไม่สามารถส่งมอบงานหรือทำงานให้แล้วเสร็จได้ตามเงื่อนไขสัญญา และได้ดำเนินการตรวจสอบงานที่เหลือและรายการที่ต้องซ่อมแขมหรือดำเนินการเพิ่มเติมแล้วพบว่า ปริมาณงาน รายการงาน และรายละเอียดด้านคุณลักษณะเฉพาะมีความคลาดเคลื่อนและไม่สอดคล้องกับการใช้งานของอาคารในปัจจุบัน กรมชลประทานจึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขแบบก่อสร้างให้สอดคล้องกับการใช้งานและความปลอดภัยของโครงสร้างและผู้ใช้อาคาร ทบทวนปริมาณงาน รายการงานและรายละเอียดด้านคุณลักษณะเฉพาะที่มีความคลาดเคลื่อน เช่น

  • ทบทวนรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะให้สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอกระทรวง) ทุกหมวดงาน และแก้ไขงานระบบสื่อสารโทรคมนาคม
  • ทบทวนปริมาณงานเดิมและเพิ่มเติมรายการงานใหม่ที่ไม่ปรากฏในสัญญาเดิม เช่น เพิ่มเติมรายการและปริมาณงานระบายน้ำจากถังบำบัดน้ำเสีย และผนังอลูมิเนียมคอมโพสิต ฝ้าเพดาน วัสดุป้องกันไฟและควันลาม และ
  • แก้ไขแบบก่อสร้างและแบบของงานสถาปัตยกรรมให้สอดคล้องกับการใช้งานและความปลอดภัย ซึ่งการแก้ไขแบบก่อสร้างอาคารดังกล่าวส่งผลให้ต้องปรับเพิ่มราคากลางงานสำหรับงานจ้างก่อสร้างในส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการเป็น 299.72 ล้านบาท

ทั้งนี้ สำนักงบประมาณ (สงป.) ได้พิจารณาแล้ว เห็นชอบความเหมาะสมของราคารายการก่อสร้างอาคารดังกล่าวในวงเงิน 299.72 ล้านบาท โดยให้กรมชลประทานเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่กันไว้ เบิกเหลื่อมปี จำนวน 16.04 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ จำนวน 283.68 ล้านบาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568- 2570 และเมื่อรวมกับวงเงินงบบประมาณตามสัญญาเดิมที่เบิกจ่ายแล้ว จำนวน 34.56 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 334.28 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามงบปีประมาณที่คณะรัฐมนตรีให้อนุมัติไว้ (เพิ่มขึ้น 71.84 ล้านบาท จากวงเงินเดิม 262.50 ล้านบาท) และมีระยะเวลาเกินกว่าที่ได้รับอนุมัติขยายระยะเวลาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเดิมเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2569) จึงขอให้กรมชลประทานนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับรายการก่อสร้างอาคารดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับกระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

ขยายเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงเพิ่มอีก 3 ปี

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี (โครงการห้วยโสมงฯ) จากเดิม 15 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 – พ.ศ. 2567) เป็น 18 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 – พ.ศ. 2570) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม 9,078.00 ล้านบาท ตามที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเผยถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ คือการจัดหาที่ดินมีความล่าช้า เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินส่วนหนึ่งไม่ยอมรับราคาทดแทนทรัพย์สินที่ภาครัฐกำหนด บางส่วนไม่ยินยอมให้เข้าใช้พื้นที่ รวมถึงที่ดินบางแปลงติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย และปัญหาผู้รับจ้าง (งานก่อสร้างระบบชลประทานฝั่งขวา) ดำเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ซึ่งเป็นผลจากการไม่นำเครื่องจักร เครื่องมือ และบุคลากร เข้าปฏิบัติงานตามแผนงานที่วางไว้ จึงต้องดำเนินการตามเงื่อนไขในการบอกเลิกสัญญา และจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่เข้ามาดำเนินการแทน ส่งผลให้ต้องขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงฯ

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการ ดังนี้

  • ช่วงระยะเวลา 1 – 6 เดือน เร่งรัดส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้างเข้าดำเนินการก่อสร้างต่อไป
  • ช่วงระยะเวลา 7 – 12 เดือน เร่งรัดติดตามงานที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่วางไว้ และดำเนินการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างงานก่อสร้างส่วนที่ยกเลิกสัญญา
  • ช่วง 13 เดือนเป็นต้นไป ดำเนินการติดตามเร่งรัดงานจ้างก่อสร้างงานระบบชลประทานและระบบระบายน้ำให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินโครงการห้วยโสมงฯ โดยเห็นชอบให้ กษ. ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงฯ ในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย โดยให้ กษ. เร่งรัดดำเนินโครงการห้วยโสมงฯ ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่เสนอในครั้งนี้ โดยไม่ให้ขยายระยะเวลาดำเนินการห้วยโสมงฯ ออกไปอีก

แต่งตั้งโยกย้ายอธิบดีกระทรวงเกษตร-พาณิชย์

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ/อนุมัติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยรัฐ มีรายละเอียดดังนี้

1. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

  • นางสาวนฤมล สงวนวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
  • นายกฤษ อุตตมะเวทิน ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
  • นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
  • นางอัญชลี สุวจิตตานนท์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมหม่อนไหม
  • นายอานนท์ นนทรีย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการข้าว
  • นายนิรันดร์ มูลธิดา ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

2. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

  • นางสาวจิตติมา ศรีถาพร ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
  • นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
  • นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  • นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

3. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้ง นายวิเชียร สุขสร้อย เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงมหาดไทย)

  • นายสราวุธ อ่อนละมัย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเดชอิศม์ ขาวทอง)
  • นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเดชอิศม์ ขาวทอง)]

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงสาธารณสุข)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอแต่งตั้ง นายฐิติพันธ์ จูจันทร์โชติ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายอนุชา สะสมทรัพย์)]

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

6. เรื่อง การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 (เรื่อง การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) และมอบหมายให้รัฐมนตรี เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ดังนี้

  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล)
  • รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)

7. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้ง นางชญานันท์ ภักดีจิตต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เพิ่มเติม

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยพับลิก้า

“ศุภชัย เจียรวนนท์” ชูไอเดีย ‘ความร่วมมือ’ สู่ความยั่งยืน – เสริมองค์ความรู้เด็ก-เยาวชน

18 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รัฐบาลออกแถลงการณ์ กัมพูชาไม่ซื่อตรงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ยื่นประท้วงต่อประธานอาเซียน-สหรัฐอเมริกา-จีน

19 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

น้ำเหนือ-อีสานเริ่มคลี่คลาย!! กรมชลฯ ยังเฝ้าระวังบางจุด เสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง

สยามรัฐ

เปิดภาพโรงพยาบาลไทยเสียหายหนัก หลังถูกกัมพูชาโจมตีด้วยอาวุธหนัก

สำนักข่าวไทย Online

กมธ. ต่างประเทศ เดินสายพบคณะทูตอังกฤษ-ยุโรป แจงข้อเท็จจริงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา

THE STANDARD

“วิทยุการบินแห่งประเทศไทย” รับสมัครงานหลายสังกัด จำนวน 180 อัตรา

อีจัน

“ภูมิธรรม” ไม่กังวล “กัมพูชา” พาทูตต่างชาติ ลงพื้นที่ชายแดนก่อนไทย

อีจัน

ปรากฏการณ์ ธงไตรรงค์โบกสะบัด ผ่าน 19,775 จอ Plan B ทั่วประเทศ ร่วมสดุดีวีรบุรุษไทย ทุกแปดโมงเช้า และหกโมงเย็น

THE STANDARD

"ภูมิธรรม" นั่งหัวโต๊ะประชุมก.ตร.ครั้งแรก ย้ำใช้เทคโนโลยีพัฒนาตำรวจ ปัดตอบปมชายแดนไทย-กัมพูชา"

Manager Online

ธ.ออมสิน พักหนี้อัตโนมัติ 3 เดือน ยกดอกเบี้ย พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

มุมข่าว

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...