“ศุภชัย เจียรวนนท์” ชูไอเดีย ‘ความร่วมมือ’ สู่ความยั่งยืน – เสริมองค์ความรู้เด็ก-เยาวชน
“ศุภชัย เจียรวนนท์” มองความร่วมมือภาคเอกชน-รัฐ ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ย่อความท้าทายจาก SDGs 17 ข้อ เหลือ 3D ได้แก่ digitalization, deglobalisation, decarbonisation เสนอ Learning Center ในโรงเรียน – กระตุ้นรัฐบาลพัฒนา E-Government ทุกระบบ
สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) จัดงาน “GCNT Expo 2025: Forward SDGs Faster Together – รวมพลังเร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน” เพื่อเร่งเดินหน้าประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย SDGs 2030 ระหว่างวันที่ 29 – 31 กรกฎาคม 2568 ณ ทรู ดิจิตอล พาร์ค กรุงเทพฯ
วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่าย Global Compact Network Thailand (GCNT) และประธานกรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวในงาน GCNT Expo 2025 ว่า การเห็นตัวเองในจุดวิกฤติทำให้ได้เรียนรู้และปรับตัว ดังนั้น เป้าหมายหนึ่งของ GCNT คือ การสร้างความตระหนักรู้ (awareness) อีกทั้งมีภาคเอกชนเป็นหน่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การกระจายรายได้และการสร้างงาน ซึ่งภาคเอกชนจะต้องขับเคลื่อนโดยยึดโยงกับตัวชี้วัด SDGs เพื่อเป็นแนวทางที่ยั่งยืน ซึ่งจะแก้ปัญหาของโลกได้
“การขับเคลื่อนแนวทางความยั่งยืนกลับมาที่ตัวชี้วัด แนวทางและผลลัพธ์เป็นอย่างไร ฉะนั้นพลังที่ยิ่งใหญ่คือการรวมพลังของภาคเอกชนทุกฝ่าย และความร่วมมือกับภาครัฐในมิติ PPP (Public Private Partnership) ทั้งภาครัฐและประชาสังคม เพราะมุมมองของภาคเอกชนฝ่ายเดียวอาจไม่สมบูรณ์”
นายศุภชัยกล่าวต่อว่า จาก SDGs ทั้ง 17 ข้อ สามารถสรุปการขับเคลื่อนความยั่งยืนได้ 3 ข้อ หรือที่เรียกว่า 3Ds คือ
- Digitalization โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีเอไอ (AI)
- Deglobalisation การเมืองระดับโลก และความขัดแย้งระดับภูมิภาค
- Decarbonisation คาร์บอนและสิ่งแวดล้อม
ร่วมมือบรรลุ SDGs ให้ถึงจุด ‘คุ้มทุน’
นายศุภชัยกล่าวต่อว่า การวางเป้าหมายและการลงมือปฏิบัติคือเรื่องสำคัญ ที่ผ่านมาเอกชนหรือห่วงโซ่อุปทานมองว่าเป้าหมาย SDGs อาจไม่คุ้มทุน แต่ปัจจุบันการดำเนินเป้าหมายดังกล่าวคุ้มทุนเกือบทุกเรื่อง ตัวอย่างเช่น พลังงานสะอาด หรือพลังงานนิวเคลียร์ ล้วนเป็นวิทยาการที่คุ้มทุนมากกว่าระบบแก๊ส อีกทั้งยังลดต้นทุนด้วย
นอกจากนี้ สินค้า บริการหรือนวัตกรรม มีภาคเอกชนเป็นผู้กำหนดและส่งเสริม ไม่ว่าจะเป็น สตาร์ทอัพหรือเอสเอ็มอี เนื่องจากมีการขับเคลื่อนกลไกตลาด รู้ราคาต้นทุน ทั้งหมดช่วยให้การบรรลุเป้าหมายสัมฤทธิ์ผลได้
“เราไม่ควรมี mind block ตั้งแต่ต้นว่าทำแล้วไม่คุ้มทุน เพราะเราเป็นกลไกตลาดอยู่แล้ว ต่างคนต่างคนไม่คุ้มทุน แต่ถ้าร่วมกันทำคุ้มทุนแน่นอน อยากให้มีเป้าหมายร่วมกัน แม้จะแข่งขันกัน แต่เป้าหมายนี้มีแต่ดี ไม่มีเสีย”
สร้างภาษา SDG ให้องค์กรและซัพพลายเชน
80-90% ของเศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนจากตลาดทุนทั่วโลก ทุกองค์กรในตลาดหลักทรัพย์มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนจากทุนนิยมหรือบริโภคนิยมให้มาอยู่ในเส้นทางที่ยั่งยืนมากขึ้น
“ตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 20 ถึง 30 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เขาผลักดันคือธรรมาภิบาล ในเวลาเดียวกันอาจไม่ชัดเจนเรื่องการดำเนินธุรกิจบนหลักความยั่งยืน ซึ่งไม่ได้หยิบ SDGs เป็นตัวนำที่ดี ทุกตลาดฯน่าจะนำไปใช้เป็นกฎระเบียบในเรื่อง report และเป้าหมายของทุกองค์กร”
ถ้าภาคเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกได้รับการ enforce จะทำให้เอกชนตระหนักรู้ ตราบใดที่ไม่รู้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ได้ แต่ถ้าตระหนักรู้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือเป้าหมายที่เริ่มไว เหมือนเราขีดเขียนภาษาใหม่ให้องค์กร เราสื่อสารซึ่งกันและกัน และระหว่างองค์กร ตลอดจนห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ มันจะเป็นภาษาเดียวกันที่พูดถึงความยั่งยืน ไม่ใช่เฉพาะความสำเร็จคือกำไรขาดทุน หรือการเทคแคร์ stakeholder ด้านการเงินเป็นหลัก แต่รวมถึงชุมชน การขับเคลื่อนทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล”
เสนอ Learning Center สอดแทรกหลักความยั่งยืน
นายศุภชัยกล่าวต่อว่า ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ระบบการศึกษาสร้างวัฒนธรรมและองค์ความรู้ต่างๆ แต่ปัญหาคือ ระบบการศึกษาของทั้งโลกและไทยมุ่งเน้นวิชาการและสร้างนักวิชาการไม่ได้เน้นการปฏิบัติ ทั้งที่การปฏิบัติช่วยให้ผู้เรียนมีจินตนาการสูงขึ้น และหากการปฏิบัติเกี่ยวโยงกับปัญหาส่วนร่วม จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ไปปฏิบัติเป็นเศรษฐกิจได้จริง ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่เข้าใจ ไม่ใช่แค่ท่องจำ
“ถ้าทุกโรงเรียนมี Learning Center หรือศูนย์การเรียนรู้ที่ยึดโยง SDGs ทั้ง 17 ข้อ ลองจินตนาการว่า เยาวชนไทยเริ่มเห็นปัญหาเหล่านี้และคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร เราไม่ได้สอนแค่วิชาการ แต่สอนเรื่องศีลธรรม (ethics) และเศรษฐกิจในเวลาเดียวกัน”
นายศุภชัยกล่าวต่อว่า ภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนศูนย์การเรียนรู้ โดยคำนึงถึงหลักการลงทุนที่คุ้มทุน และต้องสามารถเชื่อมโยงระบบการศึกษา-ภาคอุตสาหกรรม
“ในอนาคตเด็ก-เยาวชนมาร่วมกันสร้างวัฒนธรรมองค์กรและอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนทุกคนต้องการ ขณะที่ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความคุ้มทุนคุ้มค่า แต่มันต้องสร้างคุณค่าให้ส่วนร่วม และไม่ใช่คุณค่าแบบตีหัวเข้าบ้าน แต่เป็นคุณค่าที่มีความยั่งยืน เราต้องการคุณสมบัติของเยาวชนรุ่นใหม่ที่จะมาร่วมกับบริษัทเราในรูปแบบนี้ คำนึงถึงองค์กร-ชุมชน-สังคม และเป็นผู้ช่วยเปลี่ยนองค์กรเราโดยเป็นตัวอย่างที่ดีและสร้างโมเดลใหม่ๆ”
ทางออกคอร์รัปชัน ชงรัฐบาล E-Government จริงจัง
นายศุภชัยยังกล่าวถึงแนวทางลดคอร์รัปชันว่า เศรษฐกิจใต้ดิน (indirect economy) ของประเทศไทยมีอยู่ราว 50% ของจีดีพี กล่าวคือระบบที่ยังใช้เงินสดทำให้เกิดการเลี่ยงภาษีหรือกฎระเบียบ
“E-Government รัฐบาลต้องสร้าง ecosystem หรือระบบนิเวศที่ทำให้เกิด Digital ID ทั้งภาคประชาชนและเอกชน นำไปสู่สังคมไร้เงินสด (cashless society) และความโปร่งใสคือ ทุกธุรกรรม(transaction) สามารถบันทึกและตรวจสอบย้อนกลับและเปิดเผยได้”
“ไม่ได้บอกว่าระบบทุกวันนี้ผิด แต่ระบบทุกวันนี้มันล้าสมัย (obsolete) ไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการตัดสินใจจากอำนาจส่วนบุคคลมันไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีที่สุดเสมอ และไม่ได้เกิดการบริหารงานที่เป็นแนวราบ แต่ถ้า digitalize สำเร็จงานจะ flat และเห็นบันทึกการทำงานของรัฐและเอกชนทั้งหมด มันวัดได้หมด ทำให้สังคมออกจากระบบเดิมๆ”
“ถ้าไทยไม่มี indirect economy เราอาจกำหนดนโยบายใหม่เช่น เงินสดที่มีอยู่ในมือตั้งแต่รหัสนี้เป็นต้นไป ถ้าไม่เอาเข้าธนาคาร จะมีค่าเป็น 0 ภายใน 3 ปีหรือ 5 ปี แต่ถ้าเอาเข้าธนาคารคือ digitalize โดยขับเคลื่อนเป็น cashless และเอา AI เข้ามา ประเทศไทยจะสามารถบริหารจัดการได้อย่างก้าวกระโดด เหมือนมันเป็นปัญหาที่จะวิกฤติแล้ว แต่มาพร้อมโอกาส”
ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา ต้องเจรจาปัญหาบนโต๊ะ
นายศุภชัย เสริมเรื่องสงครามและความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาว่า “ผมคิดว่าปัญหาดินแดนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบ้านเรากับกัมพูชา แต่มันเกิดขึ้นทั่วโลก ส่วนใหญ่แล้วเป็นปัญหาทรัพยากร เวลาจะดูเส้นแบ่งระหว่างชายแดน สมัยก่อนเมื่อ 130 ปีก่อนแผนที่เราใช้ 1:1,000 ตอนนี้มี 1:50,000 และไป 1:200,000 แล้ว ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ควรมีการหารือเจรจากัน และทำอย่างไรให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปได้อย่างสงบ และสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย”
“มันสามารถสร้าง governance ขึ้นมาได้ถ้าทั้งสองประเทศเริ่มต้นจากความจริงใจในการวางตัวผู้แทน มันไม่มีอะไรขาวดำว่าอะไรเป็นของใคร เราสร้างเขตชายแดนขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงการดูแลรักษาความมั่นคง-ความปลอดภัยของประเทศและประชาชน ดังนั้นไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของประชาชน ถ้าเราสร้าง governance โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ทั้งสองเศรษฐกิจก็ได้รับประโยชน์จากทรัพยากรที่มี ผมคิดว่าเป็นทางที่ดีที่สุดมากกว่าการตัดสินว่า อะไรคือขาว-ดำ หวังว่ายังมีทางออก ทำให้ชาวบ้านทำมาหากินได้”
“ผมคิดว่าการสร้างเศรษฐกิจและปากท้องประชาชนอย่างยั่งยืนมาจากความร่วมมือกัน เอาปัญหาที่มันสร้างความกลัวและความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันออกมาคุย มันอยู่ที่ trust ตราบใดที่ยังขาดความไว้วางใจกัน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และการจะแก้ปัญหาได้ ต้องเอา pain point ออกมาวางบนโต๊ะ และหาวิธีการจัดการ มันไม่ใช่เรื่องยากเกินไป”