โหยหาเผด็จการ
เจอข่าวแปลกๆ…
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ พูดที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับเสียงวิจารณ์ในตัวเขาว่าเป็นเผด็จการ อเมริกันต้องการเสรีภาพ
“ทรัมป์” สวนกลับเสียงวิจารณ์ตัวเขาว่า
“…แต่หลายคนก็บอกว่า บางทีเราอาจชอบเผด็จการก็ได้…”
อึ้งสิครับ!
จู่ๆ วันหนึ่ง ผู้นำประเทศต้นแบบประชาธิปไตย บอกว่าพลเมืองของเขาหลายคนชื่นชอบเผด็จการ
แม้ “ทรัมป์” จะพูดหลังจากนั้นว่า
“…ผมไม่ชอบเผด็จการ ผมไม่ใช่เผด็จการ ผมเป็นคนที่มีสามัญสำนึกสูงและเป็นคนฉลาด…”
แต่ดูเหมือนจะเป็นคำพูดแก้เกี้ยว เพราะสุดท้าย “ทรัมป์” เคยพูดไว้ตอนหาเสียงว่าเขาสามารถเป็นเผด็จการได้ตั้งแต่ วันแรก ของการดำรงตำแหน่งวาระใหม่ หากเขาชนะการเลือกตั้ง
ฟังแล้วรู้สึกอย่างไรครับ?
ผู้นำสหรัฐซึ่งควรฝักใฝ่ประชาธิปไตยทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทุกลมหายใจเข้าออกต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างสม่ำเสมอ
ต้องไร้ความเหลื่อมล้ำในความคิดตนเอง
แล้วทำไม “ทรัมป์” ต้องพูดถึงผู้นำเผด็จการในทำนองโยนหินถามทาง
หรือจริงๆ แล้วมีชาวอเมริกันต้องการผู้นำเผด็จการอย่างงั้นหรือ
แล้ว “ทรัมป์” เป็นผู้นำประเภทไหน?
ตามข่าวบอกว่า “ทรัมป์” พูดระหว่าง ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อขยายการควบคุมของกองกำลังป้องกันชาติเหนือเมืองหลวงวอชิงตัน ดี.ซี.
สั่งการให้จัดตั้ง “หน่วยกองกำลังป้องกันชาติเฉพาะทางของ ดี.ซี.” ที่ได้รับการฝึกอบรมมาเพื่อ “รับรองความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของประชาชน”
นั่นคือข้ออ้าง
เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม “ทรัมป์” สั่งให้กองกำลังป้องกันชาติเข้ายึดครองกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (เขตโคลัมเบีย) ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพรรคเดโมแครต โดยอ้างว่ามีการแพร่ระบาดของอาชญากรรมรุนแรง
ขณะนี้มีกองกำลังป้องกันชาติมากกว่า ๒,๒๐๐ นายประจำการอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และในหลายรัฐที่ปกครองโดยฝ่ายอนุรักษนิยม
กองกำลังป้องกันชาติได้เข้าประจำการพร้อมอาวุธตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา
“ทรัมป์” ยังพูดเชิงข่มขู่เมืองอื่นๆ ที่พรรคเดโมแครตปกครอง
เช่น ชิคาโก, นิวยอร์ก และบัลติมอร์ ด้วยมาตรการแบบเดียวกับที่วอชิงตันใช้
นักวิชาการอเมริกันจับทางได้ว่า “ทรัมป์” ปูทางไปสู่ความเป็นเผด็จการ!
ปัญหาอาชญากรรมเป็นแค่ข้ออ้าง
ยกตัวอย่างเช่น สถิติของตำรวจวอชิงตันแสดงให้เห็นว่าอาชญากรรมรุนแรงลดลงอย่างมีนัยสำคัญระหว่างปี ๒๐๒๓-๒๐๒๔ หลังจากที่เคยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา
แต่คนแบบ “ทรัมป์” ไม่มีถอยครับ เขาโต้ว่าข้อมูลนี้มีการบิดเบือน
สดๆ ร้อนๆ “ทรัมป์” สั่งปลดฟ้าผ่า “ลิซา คุก” ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกจากตำแหน่ง ชนิดเก็บข้าวของแทบไม่ทัน
อ้างเรื่อง “ลิซา คุก” ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเอกสารการกู้ซื้อบ้าน
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ๑๑๑ ปีของธนาคารกลางสหรัฐ
“ลิซา คุก” เป็นสตรีผิวสีคนแรกที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการเฟด และเป็น ๑ ใน ๗ สมาชิกคณะกรรมการ
หากเฟดปฏิเสธคำสั่งปลดได้กลายเป็นหนังเรื่องยาวครับ
จะเป็นการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ระหว่างทำเนียบขาวกับธนาคารกลางที่เป็นอิสระจากรัฐบาลมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๔
ทีนี้ก็ไปเถียงกันครับว่าประธานาธิบดีมีสิทธิ์ปลดผู้ว่าการเฟดหรือไม่ เพราะทางเฟดยืนยันว่า ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจที่ว่านี้
ถ้าเป็นประเทศไทยเดือดปุดๆ กันแล้ว
จะเห็นว่าต้นแบบประชาธิปไตยอย่างอเมริกา ที่ลิ้มรสเสรีภาพมานาน วันนี้เริ่มจะหันไปทางเผด็จการบ้างแล้ว
“ทรัมป์” คนเดียวตบมือไม่ดังหรอกครับ
มวลชนทรัมป์ก็ไม่เบา
เปล่าครับไม่ได้เชียร์เผด็จการ เพราะค่าเฉลี่ยเผด็จการในโลกนี้ล้วนสร้างความวิบัติให้แก่ประเทศแทบทั้งสิ้น
จะมีเผด็จการในคราบประชาธิปไตยบางรายเท่านั้นที่สร้างชาติให้มั่งคั่งได้
เช่น “ลี กวนยู” ของสิงคโปร์
หรือเผด็จการในรูปแบบสาธารณรัฐ เช่น “สี จิ้นผิง”
หรือโลกปัจจุบันมันกลมกว่าเดิม ระบอบการปกครองเริ่มถูกตั้งคำถามว่า ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการพัฒนาประเทศอีกต่อไป
มิได้ผูกขาดเฉพาะระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
ยกตัวอย่างขนาดเศรษฐกิจของจีนกำลังหายใจรดต้นคอสหรัฐ มีแนวโน้มว่าจะแซงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ครับ…ร่ายมายืดยาวแค่จะบอกว่าระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกนั้นเริ่มปรากฏชัดๆ แล้วว่า ไม่มี
มีแต่ระบอบการปกครองที่เหมาะกับประเทศนั้นๆ
เช่นไทยเหมาะกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ช่วงนี้มีจำเลย รอดจากคดี ม.๑๑๒ กันบ่อย ก็มาจากหลายๆ สาเหตุ
เช่น สำนวนอ่อน คำฟ้องหลวม เทคนิคการพูดเลี่ยงกฎหมาย หรือไม่เข้าข่าย ม.๑๑๒ ตั้งแต่แรก
แต่ความพยายามในการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มีอยู่จริง เปิดเผยมากขึ้นทุกวัน และปฏิบัติการอยู่แทบทุกวัน
พวกนี้ไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์
ส่วนเหตุผลก็อย่างที่รู้ๆ กันครับ
ขณะที่โลกปัจจุบันทุกประเทศเจอมรสุมเศรษฐกิจ บางประเทศอยู่ในภาวะสงคราม ปัญหามิได้มาจากระบอบการปกครอง
แต่มาจากตัว “ผู้นำ”
แทนที่นักการเมืองโดยเฉพาะพรรคส้มจะคิดเรื่องการปฏิรูปการเมือง ยกระดับจิตสำนึกนักการเมืองให้สูงขึ้น แต่กลับพบว่ามีการต่อต้านการตรวจสอบด้านจริยธรรมของนักการเมือง
อ้างเป็นเรื่องนามธรรม
นักการเมืองรุ่นใหม่พยายามชูภาพ ความเท่าเทียม คนเท่ากัน แต่ไร้ประโยชน์ครับ
ต่อให้ทุกคนมีสิทธิ มีเสียง มีเสรีภาพ มีสถานะทุกด้าน เท่ากัน แต่ขาดจริยธรรม หรือจริยธรรมไม่เท่ากัน สังคมนั้นไม่มีทางสงบสุขได้
วันนี้สิ่งที่ประเทศไทย นักการเมืองไทย ขาดอย่างรุนแรงไม่ใช่เรื่อง ประชาธิปไตย หรือ การเลือกตั้ง แต่คือ “จริยธรรม” ต่างหาก
ตั้งโจทย์ให้ถูกแล้วลงมือแก้ครับ ไม่งั้นจะเริ่มเคว้งเหมือนอเมริกันชน
มาถึงยุคที่เริ่มถามหาผู้นำเผด็จการกันแล้ว.