กินเผ็ดอย่างไรให้ช่วยเผาผลาญได้จริง แนะนำวิธีกินและปริมาณที่เหมาะสม
รู้หรือไม่ว่าความเผ็ดร้อนของพริกไม่ได้มีดีแค่เพิ่มรสชาติให้อาหารอร่อยขึ้น แต่ยังมีสารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกายด้วย การกินเผ็ดอย่างเหมาะสมอาจช่วยลดความอยากอาหาร เพิ่มพลังงานที่ใช้ และส่งเสริมสุขภาพได้ แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจมีผลเสียต่อกระเพาะอาหารเช่นกัน มาดูกันว่าแคปไซซินมีบทบาทต่อการเผาผลาญและสุขภาพของเราอย่างไร และควรกินเผ็ดแค่ไหนถึงจะพอดี
สารสำคัญในพริกที่ช่วยเผาผลาญเมื่อกินเผ็ด
แคปไซซิน (Capsaicin) คืออะไร
แคปไซซินเป็นสารประกอบเคมีจากกลุ่มแคปไซซินอยด์ (Capsaicinoids) ที่อยู่ในเนื้อและเยื่อสีขาวของพริก มีหน้าที่ให้ความเผ็ดร้อนในพริกและกระตุ้นตัวรับความร้อนในร่างกาย ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นชั่วคราว
กลไกการทำงาน
แคปไซซินกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ทำให้เกิดกระบวนการ Thermogenesis หรือการสร้างความร้อนในร่างกาย ส่งผลให้ใช้พลังงานมากขึ้นและอาจช่วยลดไขมันสะสม
กินเผ็ดช่วยเผาผลาญอย่างไร
Thermogenesis เพิ่มการใช้พลังงานระยะสั้น
เมื่อได้รับแคปไซซิน ร่างกายจะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วง 1–2 ชั่วโมงหลังรับประทาน
ลดความอยากอาหาร
รสเผ็ดช่วยส่งสัญญาณให้สมองรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น และลดความอยากอาหารบางประเภท เช่น ของทอด ของหวาน
กระตุ้นไขมันสีน้ำตาล
แคปไซซินมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของไขมันสีน้ำตาล ซึ่งเป็นไขมันที่ใช้พลังงานในการสร้างความร้อน
กินเผ็ดในปริมาณที่เหมาะสมตามงานวิจัย
ค่าที่แนะนำ
งานวิจัยหลายฉบับพบว่าการบริโภคแคปไซซินประมาณ 2–10 มก./วัน ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ อาจช่วยเพิ่มการใช้พลังงานและควบคุมน้ำหนัก
แปลงเป็นปริมาณพริก
พริกขี้หนูสดขนาดกลาง 2–4 เม็ด อาจให้แคปไซซินใกล้เคียงตามปริมาณดังกล่าว แต่ความเผ็ดและสารแคปไซซินจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์พริก
เวลาและเมนูที่เหมาะ
ใส่พริกในมื้อกลางวันเพื่อกระตุ้นการเผาผลาญ
กินก่อนออกกำลังกาย 30–60 นาที เพื่อเพิ่มการใช้พลังงาน
จับคู่กับโปรตีนเพื่อคงมวลกล้ามเนื้อและช่วยให้อิ่มนาน
ข้อควรระวังในการกินเผ็ด
ผู้มีโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ หรือริดสีดวงทวาร ควรหลีกเลี่ยง
ไม่ควรกินเผ็ดจัดทุกมื้อ เพราะอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร
หากมีอาการปวดท้อง แสบท้อง หรือหัวใจเต้นเร็ว ควรหยุดทันที
กินเผ็ดอย่างพอดีจากพริกที่มีสารแคปไซซินช่วยกระตุ้นการเผาผลาญและเสริมสุขภาพได้ แต่ควรควบคุมปริมาณให้เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและระบบขับถ่าย