โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ทำความรู้จัก ‘สนธิสัญญาระหว่างประเทศ’ เมื่อข้อตกลงไร้ความหมาย กัมพูชาละเมิดอะไรบ้าง

THE STANDARD

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
ทำความรู้จัก ‘สนธิสัญญาระหว่างประเทศ’ เมื่อข้อตกลงไร้ความหมาย กัมพูชาละเมิดอะไรบ้าง

เหตุความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุต่อเนื่องเกือบสัปดาห์ เริ่มจากเหตุลอบวางทุ่นระเบิดที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ 23 กรกฎาคม 2568 ทำให้พลทหารกองพันทหารราบที่ 14 บาดเจ็บ 5 นาย หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นข้อเท้าขาด ทำให้ไทยมีมาตรการตอบโต้ด้วยการปิดด่านชายแดนเพิ่ม รวมถึงการปิดกลุ่มปราสาทตาเมือน

ต่อมาในเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาได้ส่งกำลังพล 6 นายพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งปืนใหญ่ขนาด 122 มม. และอาวุธจรวด BM-21 เริ่มเปิดฉากยิงบริเวณห่างจากตัวปราสาทราว 200 เมตร โดยฝ่ายไทยพยายามตะโกนเจรจาแต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้ต้องมีการยิงตอบโต้

สถานการณ์รุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อกัมพูชาเริ่มรุกรานโจมตีใส่พื้นที่อาศัยของพลเรือน ทั้งศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน โรงเรียน รวมถึงโรงพยาบาลพนมดงรัก อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้มีพลเรือนบาดเจ็บและเสียชีวิต

แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงได้สำเร็จตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 29 กรกฎาคม แต่ฝ่ายกัมพูชาก็ยังมีโจมตีอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ในช่วงเวลาที่ใกล้เที่ยงคืนตามข้อตกลง ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะไม่มีรายงานการปะทะเพิ่มเติม แต่ก็ยังมีการตรึงกำลังทหารทั้งสองฝ่าย

ด้านรัฐบาลไทยได้ประณามกัมพูชาในการละเมิดข้อตกลงระหว่างสองประเทศ อีกทั้งยังละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่เคยลงนามกับนานาชาติด้วยเช่นกัน

การกระทำทางทหารของกัมพูชาได้ละเมิด บันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับปี พ.ศ. 2543 จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 และเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก มีเป้าหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน และกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายงดเว้นจากการใช้กำลัง หรือการดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ที่ยังไม่มีการตกลงแนวเขตแดนอย่างเป็นทางการ

การกระทำที่ดูเข้าข่ายละเมิดข้อตกลงนี้จากฝ่ายกัมพูชาในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คือการรุกล้ำเข้ามาขุดแนวสนามเพลาะ และสร้างแนวป้องกันในพื้นที่ทับซ้อน จนนำไปสู่การปะทะระหว่างกำลังทหารในวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา

รวมถึงการกระทำเชิงสัญลักษณ์เจตนายั่วยุ เช่น การที่ชาวกัมพูชาขึ้นไปร้องเพลงบนปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาท และถือเป็นการละเมิด MOU 43 ข้อ 5 ซึ่งระบุไว้ว่า ทั้งสองฝ่ายจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่เดิม หรือกระทบต่อสถานะของบริเวณชายแดน ที่ยังไม่มีการตกลงเรื่องเขตแดนอย่างเป็นทางการ

ที่สำคัญ กัมพูชายังได้เตรียมยื่นเรื่องต่อศาลโลก โดยข้ามขั้นตอนการเจรจาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ซึ่งเป็นกลไกตามที่ระบุไว้ในข้อตกลงดังกล่าว

นอกจากการละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU 43 ซึ่งเป็นข้อตกลงทวิภาคีกับฝ่ายไทยแล้ว กัมพูชายังอาจเข้าข่ายละเมิดพันธกรณีระดับภูมิภาค ภายใต้กรอบของอาเซียนอย่างชัดเจน

กัมพูชาได้ละเมิดสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ตามบทที่ 1 มาตรา 2 ข้อ (ง) และ (จ) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า รัฐภาคีจะต้องยุติข้อพิพาทโดยสันติวิธี และหลีกเลี่ยงการข่มขู่หรือการใช้กำลังในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกัน

รวมถึงกัมพูชาเองก็เคยเซ็นการรับรอง ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ASEAN Human Rights Declaration – AHRD) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค

ดังนั้น การกระทำที่มีลักษณะเป็นการใช้กำลังโจมตีประชาชนบริเวณชายแดนไทย ไม่เพียงขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่ยังถือเป็นการละเมิดพันธกรณีที่กัมพูชาได้ให้คำมั่นไว้ในระดับอาเซียนอย่างชัดเจน

จากกรณีที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 5 นาย โดยหนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นข้อเท้าขาด จากการเหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 บริเวณช่องอานม้า ใกล้กับพื้นที่การปะทะ โดยทุ่นระเบิดดังกล่าวจัดอยู่ในประเภททุ่นระเบิดสังหารบุคคล

เหตุการณ์นี้ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายละเมิด อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างเป็นรัฐภาคีร่วมลงนาม

จุดมุ่งหมายของสนธิสัญญาดังกล่าว คือเพื่อห้ามใช้ ผลิต สะสม และส่งต่อทุ่นระเบิดชนิดที่ออกแบบมาเพื่อจะระเบิดต่อเมื่อบุคคลสัมผัสหรืออยู่ใกล้ ซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต รวมถึงกำหนดให้ประเทศภาคีต้องทำลายทุ่นระเบิดที่มีอยู่ให้หมดสิ้นภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด

แม้กัมพูชาจะอ้างว่าทุ่นระเบิดดังกล่าว เป็นทุ่นระเบิดที่หลงเหลือจากช่วงสงครามหรือยุคเขมรแดง ซึ่งยังเก็บกู้ไม่หมด และได้เตือนไทยให้ระมัดระวังหลายครั้งแล้ว แต่ไทยตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ จากสภาพของทุ่นระเบิดที่ไม่สอดคล้องกับของเก่า

ดังนั้น การพบวัตถุระเบิดในพื้นที่พิพาท ซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐภาคี จึงถือเป็นการละเมิดพันธกรณีที่ได้ให้คำมั่นไว้ต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน

เหตุการณ์ปะทะในช่วงเย็นของวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา กองทัพกัมพูชาได้ใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงเข้าใส่หลายพื้นที่ในฝั่งประเทศไทย โดยหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงคือ โรงพยาบาลพนมดงรัก อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์

การโจมตีครั้งนี้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก รวมถึงมีรายงานผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นพลเรือน ทำให้ทางการไทยต้องอพยพประชาชนและผู้ป่วยออกจากพื้นที่โดยเร่งด่วน

การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 (Geneva Convention IV) ซึ่งจัดทำขึ้นในปี 2492 หลังเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเป็นอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองพลเรือนในยามสงคราม เพื่อคุ้มครองพลเรือน ผู้บาดเจ็บ และสถานพยาบาลในพื้นที่ความขัดแย้ง

ทั้งนี้ กัมพูชาได้ละเมิดอนุสัญญาดังกล่าว ในข้อ 18 ระบุว่า โรงพยาบาลหรือสถานที่ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บ ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หรือหญิงตั้งครรภ์ จะต้องไม่ใช่เป้าหมายของการโจมตี และต้องได้รับความคุ้มครองอย่างไม่มีข้อยกเว้น รวมถึงในข้อที่ 20 ซึ่งระบุว่า บุคลากรประจำโรงพยาบาล เช่น แพทย์ พยาบาล จะต้องได้รับความคุ้มครอง

ฝ่ายกัมพูชาได้โจมตีที่โรงพยาบาลพนมดงรัก ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของรัฐ และไม่ได้ถูกใช้เป็นฐานทัพหรือมีบทบาททางทหารใดๆ การยิงจรวดเข้าใส่สถานพยาบาลที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในพื้นที่ขัดแย้ง จึงเข้าข่ายเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง และอาจจัดได้ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น การที่พลเรือนและบุคลากรทางการแพทย์ตกเป็นเหยื่อโดยตรงของการโจมตี ยิ่งแสดงให้เห็นถึงการละเมิดข้อตกลงในอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน และสะท้อนถึงการไม่แยกเป้าหมายระหว่างทหารกับผู้บริสุทธิ์ อันเป็นหลักการพื้นฐานในการปฏิบัติของรัฐที่มีความขัดแย้งทางอาวุธ

นอกจากการละเมิดสนธิสัญญาที่ลงนามในหลายฉบับ ท่าทีของกัมพูชายังละเมิดหลักพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎบัตรสหประชาชาติ (United Nations Charter) ซึ่งถือเป็นเอกสารแม่บท ที่กำหนดแนวทางการอยู่ร่วมกันของประเทศสมาชิกทั่วโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ภายใต้ มาตรา 2 วรรค 4 ของกฎบัตรดังกล่าว ได้ระบุข้อความสำคัญว่า สมาชิกแห่งสหประชาชาติทุกรัฐต้องงดเว้นจากการข่มขู่หรือการใช้กำลัง ต่ออธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน หรือเอกราชทางการเมืองของรัฐใดก็ตาม

การโจมตีของกัมพูชาจึงเข้าข่าย ละเมิดหลักการห้ามใช้กำลัง (Prohibition of the Use of Force) อย่างชัดเจน โดยเฉพาะกระสุนและอาวุธหนักจู่โจมสู่พื้นที่ที่ไม่ใช่ฐานทัพทางทหาร เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน และบ้านเรือนของพลเรือน ซึ่งถือเป็น พื้นที่คุ้มครองตามหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ การกระทำของกัมพูชายังขัดต่อ หลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) ที่ห้ามโจมตีพลเรือน หรือทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม โดยไม่มีเหตุผลทางทหารอันชอบธรรม

เหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ยังส่งผลถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ลดสู่ระดับต่ำสุด รวมถึงการยิงอาวุธใส่พื้นที่พลเรือน การโจมตีโรงพยาบาล และการวางกับระเบิด ล้วนขัดต่อเจตนารมณ์ของอนุสัญญาระหว่างประเทศต่างๆ ที่ทั้งสองเคยลงนามไว้

เมื่อข้อตกลงทั้งหมดถูกละเมิด ดังนั้น การประณาม การตัดสัมพันธ์ทางการทูต หรือแม้แต่การดำเนินคดีในเวทีระหว่างประเทศ จึงไม่ใช่เพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการปกป้องหลักการที่ยึดถือร่วมกันของโลก ทั้งในด้านมนุษยธรรมและการเคารพอธิปไตยของรัฐ ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง

ภาพประกอบ: พุทธิพงศ์ โรจน์ศตพงค์

อ้างอิง:

  • ไทยคู่ฟ้า
  • พรรคเพื่อไทย / Facebook
  • Association of Southeast Asian Nations
  • khmer times
  • République et canton de Genève
  • The Museum of the City of San Francisco
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

ปรากฏการณ์ ‘หมอบี’ จากศรัทธาสู่ข้อกังขา

16 นาทีที่แล้ว

BOWKYLION จับมือเจฟ ซาเตอร์ ปล่อยซิงเกิล ลามปาม (circus) พร้อม MV สุดอาร์ตในธีมคณะละครสัตว์

50 นาทีที่แล้ว

รังสิมันต์ปูดพลเรือนชื่อ บ. เอี่ยวเบื้องหลังทุจริตเรือดำน้ำ ย้ำกองทัพควรมีเรือฟริเกตมากกว่า

51 นาทีที่แล้ว

ปปง. สั่งยึดอายัดทรัพย์สิน ‘หมอบุญ’ มูลค่า 362 ล้านบาท ในคดีฉ้อโกงประชาชน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

ระทึก! ไฟไหม้บ้าน ย่านพุทธมณฑลสาย 1 วอดเสียหายทั้งหลัง จนท.ระดมรถดับเพลิงสกัด

มุมข่าว

DSI ส่งสำนวนสั่งฟ้อง 3 ผู้ต้องหา บริษัทอุบลอินเตอร์ ฉ้อโกงปชช.เสียหายกว่า 22 ล้านบาท

MATICHON ONLINE

ม.รามคำแหง เพิกถอนปริญญาปรัชญา 'ฮุนเซน' หลังมีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์รัฐไทย

Khaosod

“Skincare จากสาหร่ายพวงองุ่น”คว้ารางวัลระดับนานาชาติ

INN News

อัพเดทล่าสุด เขากระโดง รฟท.–กรมที่ดินเร่งเพิกถอน 5,000 ไร่ ฝ่ายชุมชนประกาศไม่ถอย

TNN ช่อง16

ปรากฏการณ์ ‘หมอบี’ จากศรัทธาสู่ข้อกังขา

THE STANDARD

GPT-5 พร้อมใช้งานบนแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์แล้ววันนี้

TODAY

ตร.จับมือ สคบ. ETDA ลงนาม MOU เชื่อมระบบรับเรื่องร้องเรียน-ปราบโกงออนไลน์ เพิ่มความเร็วอายัดเงินคืนผู้เสียหาย

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

ภูมิธรรมแจง เดินหน้าฟ้องกัมพูชาตามกฎหมายไทย ชี้ต้องรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวเจรจา-การเมือง ส่วนส่งเรื่องศาลโลกให้ กต.ดูแล

THE STANDARD

รมช.กลาโหมเผยมอบ มทภ.2-ผู้ว่าฯ ประเมินก่อนให้ประชาชนกลับที่พัก พร้อมกดดันกัมพูชา ถอนทุ่นระเบิด-ปราบสแกมเมอร์ ในวง GBC ครั้งถัดไป

THE STANDARD

ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เผยผลประเมิน ตชด. ชายแดนไทย-กัมพูชา พบความเครียดสูงระดับ 8 ประสานทีมจิตแพทย์ลงพื้นที่ดูแลเร่งด่วน

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...