ประมงยั่งยืนนอร์เวย์ เลี้ยงปลาให้มีความสุข คน-ธรรมชาติก็มีความสุขตาม
หากเอ่ยถึงประเทศที่มีการประมงแบบยั่งยืนจนเป็นต้นแบบหลายชาติทั่วโลก หลายคนต้องนึกถึง “นอร์เวย์” ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งมีทั้งการวางกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ จนประสบความสำเร็จในการสร้างประมงยั่งยืน ที่สำคัญ ยังสามารถส่งออกอาหารทะเลไปทั่วโลก ซึ่งไทยเองเป็นประเทศที่บริโภคปลาแซลมอนจากนอร์เวย์มากที่สุดเป็นอันดับสองของเอเชีย รองจากประเทศจีน
Spotlight พาถอดบทเรียน อะไรคือจุดเริ่มต้นความสำเร็จของนอร์เวย์ และมีอะไรบ้างที่การประมงของไทยควรจะนำมาปรับใช้ เพื่อลดปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ที่ภาคประมงของไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ และเพิ่มความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมประมงระดับโลกของไทย
นอร์เวย์ ประเทศแห่งการประมง
คุณโอซฮิลด์ นัคเค่น ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) เล่าถึงรากและประวัติศาสตร์ของประเทศนอร์เวย์ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการประมงมาโดยตลอดว่า นอร์เวย์เป็นประเทศที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งตั้งแต่ยุค Ice Age และเมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย ผู้คนก็อพยพมาจากยุโรป ขึ้นเหนือ ตอนนั้นนั่นเองที่พวกเขาเริ่มมองหาอาหาร และด้วยความที่นอร์เวย์รายล้อมด้วยมหาสมุทรกว้างใหญ่ ดังนั้น ผู้คนจึงอาศัยอยู่ตามริมชายฝั่งและประกอบอาชีพประมง หลังจากนั้นอุตสาหกรรมประมงก็กลายมาเป็นการค้าและการส่งออกที่สำคัญสำหรับนอร์เวย์มาโดยตลอด
ปัจจุบัน นอร์เวย์มีประชากรราว 47,000 คนที่ทำงานโดยตรงในภาคอุตสาหกรรมประมง อาจจะฟังดูไม่มาก แต่ก็ถือว่าเยอะพอสมควร เนื่องจากนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีประชากรเพียงแค่ 5.5 ล้านคนเท่านั้น
ส่วนเมื่อปีที่แล้ว อุตสาหกรรมการประมงคิดเป็นราว 2.3 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีของนอร์เวย์ ซึ่งนอกจากนอร์เวย์จะมีอาหารทะเลเป็นสินค้าสำคัญ นอร์เวย์ยังมีทรัพยากรทางธรรมชาติอื่น ๆ เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีกด้วย
เทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการทำประมง
การนำเทคโนโลยีมาใช้ก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยปัจจุบัน นอร์เวย์มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น ในการทำประมงจากแหล่งธรรมชาติ มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อทั้งปกป้องและจับปลาอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้เครื่องมือประมงที่เหมาะสม ขณะที่ในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ก็มีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหา เช่น การควบคุมและกำจัดปรสิตทะเลที่รบกวนปลาแซลมอน โดยใช้เลเซอร์ยิงปรสิตออกจากตัวปลาโดยไม่เป็นอันตราย
นอกจากนี้ วงการเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนยังพัฒนารูปแบบฟาร์มจากพื้นที่ปิดริมชายฝั่งไปสู่พื้นที่ทะเลเปิด โดยประยุกต์แนวคิดจากอุตสาหกรรมน้ำมัน เช่น การใช้แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ลอยกลางทะเล
ทำไมการประมงนอร์เวย์ถึงยั่งยืน
คำตอบข้อนี้อาจจะหลากหลาย แต่คุณโอซฮิลด์เล่าว่า นอร์เวย์มองความยั่งยืนของอุตสาหกรรมประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเริ่มต้นจากการดูแลทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ เนื่องจากประเทศมีทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์อยู่ใกล้ชายฝั่ง การทำให้คนรุ่นต่อไปยังสามารถพึ่งพาทะเลได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 นอร์เวย์เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนสมัยใหม่ และก่อนหน้านั้นก็เป็นประเทศแรกที่นำระบบโควตาการจับปลามาใช้ในประมงจากแหล่งธรรมชาติ พร้อมกฎห้ามทิ้งปลาที่จับได้ลงทะเล ต้องนำขึ้นฝั่งทั้งหมด ซึ่งสหภาพยุโรปเพิ่งบังคับใช้กฎนี้ในปี 2019 หรือช้ากว่านอร์เวย์ราว 30 ปี
มาตรการสำคัญเพื่อความยั่งยืน เช่น การใช้เครื่องมือประมงที่ช่วยให้ปลาขนาดเล็กหลบหนีได้ จำกัดจำนวนเรือให้เหมาะสมกับปริมาณปลาในพื้นที่ และการออกแบบฟาร์มเพาะเลี้ยงให้ปลาแซลมอนมีพื้นที่น้ำเพียงพอ (สัดส่วน 97.5% น้ำ และ 2.5% ปลา) เพื่อสุขภาพและสวัสดิภาพของสัตว์ เมื่อปลามีความสุข ก็เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจด้วย เมื่อเราดูแลทั้งธรรมชาติ ปลา สวัสดิภาพสัตว์ ก็กลายเป็นผลดีต่อพวกเราทุกฝ่าย
นอร์เวย์ยังมีชื่อเสียงด้านการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน และได้รับความสนใจจากหลายประเทศ รวมทั้งช่วยสนับสนุนประเทศอื่นผ่านกองทุน โครงการคุ้มครอง และความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมถึงในประเทศไทย เช่น การจัดการประมงอย่างยั่งยืนและการปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย
สำหรับปัญหาแรงงาน นอร์เวย์ไม่ได้เผชิญปัญหาการบังคับใช้แรงงานเหมือนในประเทศไทย แต่กลับขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในฤดูประมงที่มีลักษณะตามฤดูกาล จึงมีแรงงานจากยุโรปเดินทางไปทำงานที่นอร์เวย์ ซึ่งมีรายได้ค่อนข้างดี
คนไทยรักปลาแซลมอน
คุณโอซฮิลด์เล่าให้ฟังว่า คนไทยรักปลาแซลมอนมาก โดยปีนี้ถือเป็นการเติบโตที่น่าทึ่ง เพราะปริมาณการส่งออกปลาแซลมอนนอร์เวย์มายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 43% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 12% ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีการส่งออกมาเยอะ ราคาก็ถูกลง เป็นผลดีต่อผู้บริโภค
ปลาเป็นอาหารที่คนไทยชื่นชอบอยู่แล้ว ถ้าหากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ชาวไทยนิยมบริโภคปลากันเปนประจำ จนเกิดเป็นคำว่า “กินข้าวกินปลา” อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมองปัญหาการประมงในไทยเวลานี้ ก็จะพบว่า ไทยเจอกับความท้าทายหลายอย่าง
ดังนั้นบทเรียนที่ไทยสามารถเรียนรู้จากนอร์เวย์คือ การใช้โมเดลความยั่งยืน การบริหารจัดการทรัพยากร และการต่อสู้กับการทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งยังเป็นเรื่องที่อีกหลายประเทศต้องให้ความสำคัญ การปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลเป็นปัจจัยหลัก เพราะอาหารทะเลถือเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญของโลก และเป็นสิ่งที่องค์การสหประชาชาติให้การสนับสนุน
อย่างเช่นที่ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ได้กล่าวเอาไว้ เมื่อเลี้ยงปลาให้มีความสุข ธรรมชาติก็จะคงอยู่อย่างยั่งยืน และสิ่งที่ตามมาก็คือ มนุษย์เราจะได้รับประโยชน์จากทั้งปลาและธรรมชาติไปอีกนานเท่านาน