ครึ่งล้านแรงงานกัมพูชาแห่กลับ นายจ้างเล่า ที่บ้านเจอขู่ฆ่า-ยึดทรัพย์
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม กรรมาธิการแรงงานเปิดเผยยอดแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับบ้านกว่า 540,000 คน หลังเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยและกัมพูชา Spotlight ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของธุรกิจที่เป็นเสียงแทนแรงงาน และกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ทำงานกับแรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชา สะท้อนสาเหตุที่พวกเขาต้องเดินทางกลับบ้านเกิดในระยะเวลาอันนั้น ทั้งที่แรงงานหลายคนไม่เต็มใจ
Spotlight กำลังอยู่ในกระบวนการติดต่อกับแรงงานชาวกัมพูชา เพื่อพูดคุยสาเหตุการทะลักกลับจากเสียงของแรงงานเอง แต่กระบวนการมีความซับซ้อนและอ่อนไหวบางประการทำให้ใช้ระยะเวลานานกว่าการพูดคุยกับนายจ้างชาวไทย เมื่อได้พูดคุยแล้ว Spotlight จะอัพเดตอีกครั้งในบทความฉบับต่อไป
ตามข้อมูลของ กมธ. แรงงาน แรงงานชาวกัมพูชาที่ย้ายกลับส่วนใหญ่เป็นแรงงานถูกกฎหมายที่ทำงานในภาคการเกษตร ก่อสร้าง แปรรูปอาหาร และบริการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลางของประเทศไทย
หนึ่งในกลุ่มนั้นคือแรงงานกัมพูชาเกือบ 20 คนที่ทำงานกับมานะพันธุ์ยาง สวนยางของคุณอัจจิมา พรหมสวัสดิ์ เธอแลน้องสาวมีสวนยาง 2 แห่งรวม 90 ไร่ และสวนทุเรียนยอีก 50 ไร่ บนรอยต่อจังหวัดจันทบุรีและระยอง รวมถึงขายต้นกล้าทุเรียนและยางให้เกษตรกรในท้องถิ่น แต่ไม่นานนี้สวนยางของพวกเธอต้องปิดตัวลง
มานะพันธุ์ยางเดิมทีมีลูกจ้างราว 30 - 50 คน ในจำนวนนี้มีคนไทยอยู่เพียง 2-3 คน นอกนั้นเป็นคนลาวและกัมพูชา แต่เพราะความขัดแย้งระหว่างสองชาติ จากเดิมเคยมีแรงงานชาวกัมพูชาถึง 20 คน ตอนนี้มีอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น แม้ว่าแรงงานทุกคนจะเป็นแรงงานที่จดทะเบียบถูกต้องตามกฎหมาย คุณอัจจิมากล่าวว่า ช่วงความขัดแย้งรุนแรง แรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่กลับไปเพราะความกังวลเรื่องความปลอดภัย และแรงกดดันจากทางบ้าน
เสียงโทรศัพท์เรียกกลับบ้าน
“เราบอกเขาว่าไม่ต้องกลัว เราสามารถดูแลได้ เขาก็อุ่นใจไปพักหนึ่ง แต่น่าจะโดนบีบจากทางบ้านด้วย” คุณอัจจิมากล่าว
แรงงานไม่ระบุรายหนึ่งของเธอเล่าว่า มีการกดดันกันในบ้านเกิดของพวกเขา โดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้ประชาชนชาวกัมพูชาเรียกสมาชิกครอบครัวที่มาทำงานในประเทศไทยเดินทางกลับบ้านโดยด่วน หากไม่ ชีวิตหรือทรัพย์สินของคนที่บ้านอาจเป็นราคาที่เขาต้องแลก
“เขาบอกว่าทางบ้านเขาโดนขู่ฆ่า ถ้าลูกหลานไม่ยอมกลับบ้าน เขาบอกว่า เป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นกำนันน่ะ ไม่รู้ภาษาเขาเรียกคำนี้ว่าอะไร แต่เขามาเดินสำรวจตามบ้านเลยว่าใครยังไม่กลับบ้าง ถ้าไม่กลับจะถูกฆ่าและจะถูกยึดทรัพย์ และถูกยึดที่ดิน”
ข้อมูลนี้ไม่ได้รับการยืนยันจากทางการฝ่ายใด แต่เป็นคำบอกเล่าปากต่อปาก จากญาติชาวกัมพูชาที่บ้านเกิด ถึงแรงงานกัมพูชาในไทย ถึงนายจ้างชาวไทยอย่างคุณอัจจิมา แต่เธอก็เชื่อว่า คำสั่งนั้นเป็นคำสั่งโดยตรงมาจากอำนาจที่ใหญ่กว่ารัฐบาลท้องถิ่น และทำให้คนกัมพูชาที่บ้านเกิดกลัวกันมาก
“เขารับโทรศัพท์จนรับไม่ไหว รบเร้าจนไม่ไหวเลย ก็เลยต้องกลับ แล้วค่าแรงเขาก็ยังอยู่กับเรานะ เราบอกทำไมไม่รอค่าแรงออกก่อนล่ะ เขาก็บอกไม่เป็นไร เขาก็อ้างกับพ่อแม่กับญาตินะว่าไม่มีตังค์กลับ ทางนั้นเขาก็ขายวัวขายควายส่งเงินมาให้ เพื่อให้มีค่ารถกลับไป”
คุณอัจจิมากล่าวว่า แรงงานชาวกัมพูชาที่เธอเคยว่าจ้างเผชิญความกดดันแบบนี้หลายคนมาก หลายคนจึงรวมกันหารถจากสวนยางคุณอัจจิมาไปด่านบ้านแหลม ที่ห่างออกไป 129 กิโลเมตร สวนยางของน้องสาวคุณอัจจิมาที่ตำบลน้ำเป็น อำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง ก็ได้รับผลไม่ต่างกัน แรงงานถูกกดดันแบบเดียวกันหลายสิบคน สวนของน้องสาวไม่เหลือแรงงานชาวกัมพูชาสักคนเดียว
ผู้ประกอบการอีกคนที่ได้รับผลกระทบมากจนตัวเขาเองเรียกว่า “เหมือนโดนฟ้าผ่า” คือคุณณัฐ ผู้ไม่ประสงค์บอกชื่อจริงและบริษัท เขาทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
คุณณัฐทำธุรกิจรับเหมาฯ เล็ก ๆ เพียงพอเลี้ยงดูครอบครัวและลูกน้องได้ เขาทำมายาวนานกว่า 20 ปี ก่อนควาขัดแย้งปะทุ เขามีลูกจ้างอยู่ 32 คน ทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา ชาย 22 คนและหญิง 10 คน อายุระหว่าง 20-45 ปี แต่ตอนนี้คุณณัฐเหลือลูกจ้างเพียง 2 คนเท่านั้น
“เมื่อวันที่ 24 ผมรู้ข่าว [การปะทะ] จากลูกน้อง เขามาบอกผมว่า “ไม่กล้าละ สงสัยผมต้องกลับบ้านละ” เขานั่งเข่าทรุดเลย” คุณณัฐเล่า
อย่างไรก็ตามคุณณัฐกล่าวว่า อดีตลูกน้องของคุณณัฐได้ยินเรื่องคำขู่เรื่องการถอดสัญชาติและยึดที่ดินจากผู้ใหญ่บาน ตรงกันกับข้อมูลจากคุณอัจจิมา หากแต่คุณรัฐไม่คยได้ยินกรณีขู่ทำร้ายร่างกายหรือเอาชีวิตจากลูกจ้างของเขามาก่อน ซึ่งอาจเป็นเพาะการส่งต่อข่าวปากต่อปากทำให้เนื้อหาเกนจริง หรือความรุนแรงของคำขู่ที่ต่างกันในแต่ะพื้นที่ อย่างไรก็ตามยังไม่มีการยืนยันในระดับรัฐบาลกลางต่อข่าวลือนี้
“วันที่คนงานจะกลับบ้านเมื่อวันที่ 25 เขาคุย 2 ประเด็นหลัก คือการถูกทำร้าย เพราะมีเด็กตาย มีคนตาย [จากการยิงปืใหญ่ลงร้าสะดวกซื้อ] เขาก็บอกนะว่าไปยิงเข้าเซเว่นทำไม ทำไมไม่ยิงตรงที่รบกัน เขาเลยกลัวคนไทที่โกรธแค้นจะมาลงกับคนที่ทำงาน”
ผู้รับเหมาเสริมถึงอีกสาเหตุที่แรงงานตัดสินใจกลับบ้าน เนื่องจากความนิยมในการใช้เงินบาทลดลง รวมถึงหนวยงานอย่างการไฟฟ้ากัมพูชาก็เลิกออกบิลค่าไฟเป็นเงินบาทตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา และแม้คุณณัฐจะเสนอโอนเงินเป็นเงินดอลลาร์ ความรุนแรงนสังคมไทยต่อแรงงานกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้พวกเขาถอดใจอีกครั้ง
คนไทยใจดี เว้นตอนนี้กับคนกัมพูชา (not all)
นอกจากแรงกดดันจากทางบ้าน อีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักไสให้คนกัมพูชากลับบ้านคือคนไทย ซึ่งคุณนิลุบล พงษ์พยอม ผู้ก่อตั้งกลุ่มนายจ้างสีขาว กลุ่มนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวเรียกว่า “คลั่งชาติ”
ในช่วงแรกของการเปิดฉากปะทะระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดน ความรุนแรงก็ปะทุขึ้นในตัวเมืองของประเทศไทยเช่นกัน “แก๊งวัยรุ่น 8 คนยกพวกทำร้ายแรงงานกัมพูชา 3 รายที่มีนบุรี” “แรงงานกัมพูชาแจ้งความถูกอินฟลูเอนเซอร์ เต้ อาชีวะ และกุ้ม สป. ทำร้ายที่ย่านสำโรงเหนือ” และกรณีอื่น ๆ ที่ไม่ได้ถูกรายงาน เป็นตัวอย่างของความรุนแรงที่สร้างความกลัวให้คนกัมพูชา
ซอยกีบหมู แขวงบางชัน เขตคลองสามวา เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีแรงงานชาวต่างชาติ เมียนมา ลาว และกัมพูชา รวมถึงคนไทยจากต่างจังหวัดอาศัยอยู่ ก่อนหน้านี้มีแรงงานอยู่ 2,000 - 3,000 คน ขณะนี้คุณนิลุบลกล่าวว่า แทบไม่มีแรงงานกัมพูชาเหลืออยู่เลย ทิ้งไว้แต่ความเงียบเหงาถนัดตา สาเหตุหลักอย่างหนึ่งคงเป็นการบุกทำร้ายแรงงานถึงในห้องพักเมื่อคืนวันที่ 24 กรกฎาคม 2568
“ที่ซอยกีบหมู แรงงานชาวกัมพูชาโดนเตะสลบ และโดนต่อยตาแทบหลุดเลย คืนนั้นมีกลุ่มคนไทยรวมกลุ่มกันบอกว่าจะไปไล่ล่า ไปเก็บแรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชา เขา [ชาวกัมพูชาที่ถูกทำร้าย] ไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วโดนเตะต่อยจนสลบ ตาปูด” คุณนิลุบลเล่า
“จากนั้นในคืนเดียวกัน มีการรวมกลุ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เข้าไปในซอยกีบหมู กลุ่มแก๊งพวกนี้เข้าไปบุกทำร้ายถึงในห้องพัก พอไม่เปิดก็ทุบประตูจนพัง ใช้ไม้ทุบกระแทกที่ห้องพัก โยนหินใส่หลังคาแตก และเข้าไปถึงในห้องนอน”
ที่จังหวัดจันทบุรีก็เช่นกัน คุณอัจจิมากล่าวว่า มีการทำร้ายแรงงานชาวกัมพูชาหลายกรณีที่จังหวัดจันทบุรี หลายครั้งไม่ได้เป็นที่สนใจของสื่อ หรือแรงงานไม่ได้แจ้งความเพราะกลัวการมีเรื่องราวต่อ กรณีที่อำเภอนายามนั้น คุณอัจจิมากล่าวว่า เป็นลูกน้องของลูกค้าสวนยางของเธอเอง แรงงานรายนั้นถูกกลุ่มคนไทย
“โดนคนไทยกระทืบ กระทืบหัวแตก ฟกช้ำตามร่างกาย […] คนไทยบางกลุ่มที่ไม่ฟังเหตุผล ไม่มีเหตุผล เหมารวมว่าคนกัมพูชาไม่ดี […] ลูกค้าเขาเล่าให้ฟังเขาบอกว่า ก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะ 20 ขึ้น 30 ขึ้น ไม่เด็กเลย มีทั้งที่จันทบุรีและระยองเลย ที่อำเภอแก่งก็มี แต่เขาไม่ได้แจ้ง เขากลัว นายจ้างบางคนก็ไม่ปกป้องลูกน้อง พอลูกน้องโดนทำร้ายก็ปล่อย ๆ กันไป”
ด้านคุณณัฐเองก็พบว่าแรงงานที่เขาดูแลเกิดความตระหนกจากกรณีทำร้ายคนกัมพูชาที่ซอยกีบหมูเช่นกัน หลังเห็นวิดีโอแรงงาน 2 รายถูกทำร้ายจนสลบ คุณณัฐก็ได้รับสายโทรศัพท์ว่า “ผมขอกลับบ้านได้ไหม ผมกลัว”
“ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่สบายใจมาแล้วรอบหนึ่ง เพราะเขาไปซื้กับขาวแล้วคนไม่ขายให้ บอกว่าหมด” คุณณัฐอธิบายประสบการณ์ของลูกจ้าง และเล่าต่อว่าไม่มีอะไรที่จะยื้อพวกเขาไว้ได้เลย แม้มีการเสนอจ้างรปภ. ดูแลความปลอดภัยให้ แต่แรงงานก็ยืนยันกลับบ้านเกิดก่อน ด้วยความหวังว่าได้กลับมาทำงานที่ประเทศไทยอีกครั้งในอนาคต
อย่างไรก็ตามคุณณัฐออกความเห็นว่า กรณีทำร้ายร่างกายเป็นสิ่งที่ทำใหแรงงานตระหนกและตัดสินใจง่ายขึ้น แต่ความกดดันจากทางบ้านน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ปลดล็อคการตัดสินใจ
แม้ว่ากระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ หรือหน่วยงานต่าง ๆ จะยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าแรงงานชาวกัมพูชาสามารถดำรงชีพและทำงานอยู่ในไทยได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี นายจ้างหลายคนออกตัวปกป้องพยายามให้ความเชื่อมั่น แต่ถูกทำร้ายแล้วบาดแผลทางกาย-ใจอาจคงอยู่ตลอดไป ชีวิตเสียได้ครั้งเดียว ไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มแรงงานจะทะลักไหลกลับบ้าน
คุณนิลุบลสรุปถึงการทำร้ายร่างกายแรงงานชี้ว่า เกิดจากการแยกแยะไม่ได้ว่าความขัดแย้งควรอยู่ที่สนามรบ การโจมตีพลเมืองเป็นความผิดเสมอ ไม่ว่าจากฝ่ายใด
“พวกนี้เป็นกลุ่มที่เมื่อก่อนไม่มีคนกดไลก์กดแชร์ กดซับสไคร์บหรอก แต่ตั้งแต่มีสงคราม มีคนรักชาติ คลั่งชาติขึ้นมา จนแยกกันไม่ออกว่าเรื่องพวกนี้ควรสู้กันที่สนามรบ ไม่ได้เกี่ยวกับคนบริสุทธิ์ในประเทศไทย ตัวแรงงานถ้าทำไม่ถูกต้องตามกฎมาย ก็ควรเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องดูแล”
คุณสมพงษ์ สระแก้ว ผ.อ.มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ Labour Protection Network (LPN) ผู้ทำงานใกล้ชิดแรงงานข้ามชาติเป็นอีกคนที่สะท้อนปัญหาแรงงานย้ายกลับบ้านเพราะกลัวถูกทำร้าย
“กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์มีทั้งบวกและลบ คนที่มีแนวคิดเชิงลบก็ไปสร้างปัญหาให้กับแรงงานชาวกัมพูชา ซึ่งไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของชาติ ไม่ได้มีประเด็นที่จะไปสร้างอะไรต่าง ๆ เลย ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะมีเอกสารหรือไม่ ก็จะมีกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ที่คลั่งชาติ รักชาติเกินไป เขาไปทำร้าย”
“แรงงานในพื้นที่ชายแดนกลับกันเกือบหมดแล้ว พวกภาคส่วนก่อสร้าง ในอุตสาหกรรมแปรรูปส่งออก ก็เกิดผลกระทบ ปัญหาตามาก็คือกำลังการผลิตลดลง แล้วจะสามารถทำตามออเดอร์ของต่างประเทศได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต” คุณสพงษ์เสริมอธิบายถึงผลร้ายทางเศรษฐกิจที่เกิดกับผู้ประกอบการ
คุณอัจจิมาสะท้อนว่า ผู้ประกอบการหลายคนในจังหวัดจันทบุรีต้องใช้วิธี “ซื้อตัว” แรงงานกัน คือขอจ้าแรงงานชาวไทย และชาติอื่น รวมถึงกัมพูชาที่ยังอยู่ด้วยค่าแรงสูงกว่าเดิม เพื่อให้ธุรกิจของตนเดินต่อไปได้ แต่แน่นอนว่าในพืนที่ย่อมมีธุรกิจขาดแคลนแรงงานอยู่เสมอ และคงจะเป็นคนที่มีกำลังทุนน้อยกว่าที่รับกรรมก่อน
มานะพันธุ์ยางเอง ตั้งแต่แรงงานชาวกัมพูชาเดินทางกลับบ้านเกิด ก็เสียรายได้ไปมากกว่า 80,000 ซึ่งถือว่าเกินครึ่งของรายได้ก่อนความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้น สวนยางของครอบครัวต้องปิดตัวลงไปแล้ว เหลือแต่ส่วนการเพาะกล้าเท่านั้นที่ยังทำอยู่ และแรงงานเป็นอีกส่วนที่ขาดรายได้เพราะต้องเดินทางกลับบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นความกลัวการถูกคุกคามจากคนไทยรักชาติ หรือความกลัวครอบครัวเดือดร้อนจากเจ้าหน้าที่กัมพูชา ความพยายามของ “ผู้กระทำทั้งสองกลุ่มนี้” ได้ผลักไสแรงงานจากการมีรายได้ยังชีพ และสิทธิในการมีชีวิตที่ปลอดภัย ทั้งที่พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการยิงก่อนหลัง หรือโจมตีตามแนวชายแดนเลย
หากความรักชาติคุ้มค่ากับการทำร้ายคนต่างด้าว คำถามต่อไปคือคุ้มหรือไม่ หากการขับไล่พวกเขาจะย้อนมาทำร้ายประเทศเราเองทางเศรษฐกิจ ติดตามผลต่อผู้ประกอบการและเศรษกิจและเรื่องราวของแรงานกัมพูชาหลังเดินทางกลับประเทศได้ต่อที่ Spotlight