แพทย์สุดงง พบสาวป่วยโรค “ถึงจุดสุดยอดพร่ำเพรื่อ” แต่หาสาเหตุไม่ได้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานกรณีทีมแพทย์ในประเทศจีนพบผู้ป่วยที่มีอาการแปลกประหลาด โดยผู้ป่วยหญิงวัย 20 ปีรายนี้ประสบปัญหาภาวะถึงจุดสุดยอดโดยไม่สามารถควบคุมได้หลายครั้งต่อวัน ส่งผลให้เธออยู่ในภาวะเหมือนโดนกระตุ้นทางเพศตลอดเวลา
จากรายงานการศึกษาของนายแพทย์เหยียนจิงและโอวหยางต้าฟางจากโรงพยาบาลที่ 6 ของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร AME Case Reports ระบุถึงอาการของผู้ป่วยรายนี้ว่า "อาการกระตุ้นทางเพศนี้มีลักษณะของประสบการณ์การถึงจุดสุดยอดทางเพศที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ”
เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วที่หญิงสาวนิรนามคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการนี้โดยที่ ไม่ได้เกิดจากการกระตุ้นทางเพศ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่าเธอป่วยเป็นโรค “ถึงจุดสุดยอดพร่ำเพรื่อ” (Persistent Genital Arousal Disorder - PGAD)
แม้ว่าอาการนี้อาจฟังดูคล้ายเรื่องชวนขำขัน แต่ความจริงแล้วการถึงจุดสุดยอดตลอดเวลาเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ผลการศึกษาชี้ว่ามันส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่ทางสังคมและจิตใจ รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันด้วย อาการเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วยหญิงคนนี้อย่างหนักจนเธอไม่สามารถไปโรงเรียนหรือทำงานได้ และไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ตามปกติ
อาการของเธอเริ่มขึ้นเมื่ออายุ 14 ปี โดยเริ่มต้นจากความรู้สึกเหมือนมี "กระแสไฟฟ้า" ไหลในช่องท้อง พร้อมกับการหดตัวของอุ้งเชิงกรานที่คล้ายกับการถึงจุดสุดยอด แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเธอก็เริ่มแสดงอาการทางจิตที่ผิดปกติ เช่น เชื่อว่าคนอื่นสามารถอ่านความคิดของเธอได้ ซึ่งนำไปสู่การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในเวลาต่อมาด้วยอาการซึมเศร้าและอาการทางจิต
แม้จะลองรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ รวมถึงการให้ยาต้านอาการชักและยาทางจิตเวชหลายชนิด แต่อาการถึงจุดสุดยอดพร่ำเพรื่อนี้ก็ไม่หายไป ทำให้เธอเชื่อว่าอาการป่วยของเธอเกิดจากสิ่งเร้าภายนอก
ตอนที่เธอเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในครั้งนี้ อาการของเธอก็แย่ลงถึงขั้นที่เธอแทบจะอธิบายอาการให้แพทย์ฟังไม่ได้ เพราะมักจะถูกขัดจังหวะด้วยความรู้สึกว่ากำลังถึงจุดสุดยอดอยู่ตลอดเวลา
ผลจากการตรวจของแพทย์สาขาประสาทวิทยาในเบื้องต้น ทั้งการตรวจคลื่นไฟฟ้าของสมอง (EEG) และการตรวจอื่น ๆ ปรากฏว่า ไม่พบความผิดปกติทางโครงสร้างในสมองหรืออวัยวะสืบพันธุ์ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการดังกล่าว แพทย์จึงสรุปในที่สุดว่าเธอเป็นโรค PGAD
หลังจากนั้น เมื่อแพทย์เริ่มการรักษาด้วยยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotic) ก็ดูเหมือนจะช่วยลดทั้งอาการถึงจุดสุดยอดและอาการหลงผิดทางจิตของผู้ป่วยลงได้
เมื่อผ่านการรักษาไปหลายสัปดาห์ อาการของเธอก็ดีขึ้นจนสามารถกลับไปทำงานและใช้ชีวิตทางสังคมได้ตามปกติ แต่เมื่อใดที่เธอหยุดใช้ยา อาการก็จะกลับมาอย่างรุนแรง
ข้อมูลจากคลินิกการแพทย์คลีฟแลนด์ระบุว่า โรค PGAD เพิ่งมีการศึกษาอย่างเป็นทางการในปี 2544 และคาดว่ามีผลกระทบต่อผู้หญิงประมาณ 1% ในสหรัฐอเมริกา แต่จนบัดนี้ก็ยังคงเป็นโรคที่วินิจฉัยได้ยาก
สาเหตุที่เป็นไปได้ของโรคนี้ยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับระบบประสาท, การไหลเวียนของเลือด, หรือยาแก้อาการซึมเศร้าบางชนิด
แพทย์เชื่อว่าการให้ยาต้านอาการทางจิตกับผู้ป่วยรายนี้อาจช่วยลดการตอบสนองของ โดปามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับระบบการกระตุ้นและให้รางวัลของสมอง จึงส่งผลให้อาการป่วยของเธอน้อยลงได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรค PGAD ให้หายขาดอย่างถาวร
ที่มา : nypost.com
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES