‘เป็นกลยุทธ์การเจรจา’ เปิดข้อต่อสู้แพทองธารคดีคลิปเสียง ‘ฮุน เซน’ ย้ำไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัว
วานนี้ (13 สิงหาคม) ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก ได้แก่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และ ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น.
ในคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
กรณีนี้เกิดขึ้นหลังประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของแพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
ศาลนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือและลงมติในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. และฟังคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น. เป็นต้นไป
แพทองธารยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันว่าการกระทำตามข้อกล่าวหาไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน พร้อมขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ในคำชี้แจง แพทองธารยื่นรายชื่อพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ปาก ได้แก่
1) ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. ผู้ทำงานร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ และทราบเจตนาที่แท้จริงในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน
2) อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้สั่งการฝ่ายปกครองด้านชายแดน
3) พล.อ. ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบำนาญ ผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา ทำงานในพื้นที่มาตั้งแต่ยศร้อยโท และทำงานกับ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต่อเนื่องตั้งแต่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 และผู้บัญชาการรบพิเศษ
4) พล.ท. พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร รองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร ผู้ชำนาญด้านกฎหมายความมั่นคงและอำนาจอธิปไตย
5) ธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และรัสเซีย ผู้ชำนาญการด้านการต่างประเทศและวิธีปฏิบัติทางการทูตแบบไม่เป็นทางการ
ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดไต่สวนเฉพาะแพทองธารและฉัตรชัยในวันที่ 21 สิงหาคมนี้เท่านั้น
แพทองธารยังชี้แจงต่อศาลถึงกรณีการใช้ถ้อยคำ “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” ว่าเป็นเพียงเทคนิคการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยมุ่งค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ของคู่เจรจา เพื่อหาทางยุติความตึงเครียด ไม่ได้หมายความว่าจะดำเนินการตามข้อเสนอทุกกรณี อีกทั้งข้อเสนอจากกัมพูชาจะต้องผ่านการพิจารณากับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนทุกครั้ง
สำหรับถ้อยคำที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พล.ท. บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” แพทองธารระบุว่าเป็นเพียงการอธิบายความไม่พอใจส่วนตัวของสมเด็จฮุน เซน ต่อแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล มิใช่การกล่าวโจมตีหรือสร้างความขัดแย้ง
แพทองธารย้ำว่าบทสนทนามีเป้าหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่มีเจตนาหาผลประโยชน์ส่วนตัว
แพทองธารชี้ว่า สมเด็จฮุน เซน ในฐานะประธานวุฒิสภากัมพูชา ไม่มีสถานะทางกฎหมายที่จะกระทำการก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ ทั้งหมดจึงเป็นเพียงการดำเนินการทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพประเทศและป้องกันความขัดแย้ง ไม่ใช่การโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง