“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 16 สิงหาคม 2568 เวลา 0.48 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทรัฐสภา 15 ส.ค.-“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท ตั้งคำถามหลายรัฐวิสาหกิจมีผลกำไรดี จะมาตั้งของบอีกทำไม
นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในเรื่องของรัฐวิสาหกิจ ว่า ในเอกสารงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่าย มาตรา 29 มีรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งของบประมาณรวมกันทั้งสิ้น 79,298 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 1.43 แสนล้านบาท ซึ่งในรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งที่ของบประมาณมาตนไม่ค่อยติดใจ เพราะมีรัฐวิสาหกิจจำนวนหนึ่งไม่มีรายได้ อีกส่วนเป็นรัฐวิสาหกิจมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ บางรัฐวิสาหกิจมีหนี้สินจำนวนมาก เช่น ขสมก. การรถไฟแห่งประเทศไทย
นายวีระ ฝากไปถึงคนที่ต้องจัดการรัฐวิสาหกิจว่า รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหารัฐบาลต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดว่า รัฐวิสาหกิจเหล่านั้นคงอยู่ต่อไปในสภาพแบบนั้น หรือ จะดำเนินการแปรรูปให้เอกชนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดภาระการคลังในอนาคตอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
สำหรับกรณี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการ โดยที่รัฐบาลยังถือหุ้นใหญ่อยู่ประมาณ 40% แต่ไม่มีสถานะภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป ถือเป็นบทเรียนที่สำเร็จที่สามารถจัดการรัฐวิสาหกิจไม่ให้เป็นภาระต่องบประมาณ
อย่างไรก็ตาม ตนยังติดใจรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะ ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. / ธนาคารออมสิน / บรรษัทประกันสินเชื่อธนาคารขนาดย่อม หรือ บสย. / ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และรัฐวิสาหกิจอีก 3 แห่ง คือ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. / การทางพิเศษแห่งประเทศ และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
ซึ่งในงบประมาณรายจ่ายรัฐวิสาหกิจมีตัวเลขที่รัฐวิสาหกิจขอมาที่ไม่ควรมองข้าม 4 รายการ ประกอบด้วย 1. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. ของบรายจ่ายสูงที่สุด 20,203 ล้านบาท 2. บรรษัทประกันสินเชื่อธนาคารขนาดย่อม หรือ บสย. ของบรายจ่าย 8,834.64 ล้านบาท 3.ธนาคารออมสิน ของบรายจ่าย 1,517 ล้านบาท 4. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ของบรายจ่าย 278 ล้านบาท จึงอยากตั้งคำถามว่า ทำไมต้องให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ ในเมื่อต่างมีผลประกอบการ มีกำไร และไม่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินแต่อย่างใด ซึ่งการของบเป็นการตั้งงบประมาณชำระคืนตามมาตรา 28 และมาตรา 29 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ซึ่งเกิดจากที่หน่วยงานของรัฐดำเนินกิจกรรม มาตรการ และโครงการ โดยที่รัฐบาลรับปากว่าจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ให้ในอนาคต แต่รัฐบาลกลับเอางบประมาณที่จัดสรรให้รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆที่มีลักษณะธุรกรรมแตกต่างกันเอามาไว้ในที่เดียวกัน
“ผมจากที่ได้ศึกษาส่วนที่สำนักงบประมาณทำมา ผมอยากจะบอกว่า แบบนี้ไม่ควรทำ เพราะเป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมในการจัดทำงบประมาณ เพื่อปกปิดการดำเนินการของรัฐบาลที่ใช้เงินนอกงบประมาณด้วยนโยบายกึ่งการคลังที่ไม่สามารถตรวจสอบได้”นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. และการทางพิเศษแห่งประเทศ ได้รับการจัดสรรงบแบบเดียวกันนี้ แต่รัฐวิสาหกิจทั้งสองแห่งนี้มีผลประกอบการที่มีกำไร ไม่ควรมาของบประมาณในลักษณะแบบนี้อีกต่อไป
ทั้งนี้ นายวีระ เปิดเผยว่า ประเด็นที่เป็นปัญหาขณะนี้ล่าสุดทางรัฐบาลตกลงจะมีการใช้งบประมาณ 47,000 ล้านบาท เพื่อให้ธกส.จ่ายสำรองไปก่อนสำหรับช่วยเหลือชาวนา ช่วงนาปรังและนาปี ซึ่งทำให้ธกส.ต้องมาแบบรับภาระตามมาตรา 28 เพิ่มเติม และต้องทำตามนโยบายของรัฐ มียอดคงค้างที่รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณจ่ายถึง 9 แสนล้านบาท
“ข้อมูลที่น่าตกใจ ระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่เป็นรายการนอกงบประมาณด้วยนโยบายกึ่งการคลังในขณะนี้ มียอดคงค้างทั้งสิ้น 1.077 ล้านล้านบาท พูดง่ายๆท่านสมาชิกพิจารณางบประมาณรายจ่าย ท่านไม่มีสิทธิ์พิจารณารายการนอกงบประมาณรายจ่ายเป็นมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท…พูดแบบไม่ต้องเกรงใจ รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยเฉพาะธกส. ออมสิน และบสย.ได้แล้ว” นายวีระ กล่าว
ทั้งนี้ นายวีระ กล่าวว่า ในปีนี้เราเป็นห่วงงบประมาณรายจ่าย แต่ปีหน้างบที่เกี่ยงข้องรัฐวิสาหกิจจะกระโดดจาก 4.2 แสนล้านบาท เป็น 5.9 แสนล้านบาท และรายการที่เป็นงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ภาครัฐ ปีนี้ตั้งงบชำระหนี้ 3.6 แสนล้านบาท แต่ที่น่าตกใจ ปี 70-72 ต้องชำระหนี้ภาครัฐเป็น 5.1 แสนล้านบาท ถ้าหากเราไม่จัดการการบริหารนอกงบประมาณอย่างจริงจังเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมาก.-312.-สำนักข่าวไทย